วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
Coffee and Ganoderma lucidum: อานุภาพของราชาเห็ด
Coffee and Ganoderma lucidum: อานุภาพของราชาเห็ด: เห็ดหลินจือ ภาษาอังกฤษ Lingzhi mushroom หรือ Reishi mushroom มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst หรือจะเรียกว่า...
อานุภาพของราชาเห็ด
เห็ดหลินจือ
ภาษาอังกฤษ Lingzhi mushroomหรือ Reishi mushroom มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst หรือจะเรียกว่า เห็ดหมื่นปี หรือ เห็ดอมตะ ก็ได้ จัดเป็นยาจีนที่ใช้กันมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว (Chinese traditional medicine) ใช้กันนับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา
เห็ดหลินจือ ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมีมากมายกว่า 100 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่นิยมและมีสรรพคุณทางยาที่ดีที่สุดคือ สายพันธุ์สีแดง หรือเห็ดหลินจือแดง หรือ กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั่ม (Ganoderma lucidum) โดยในเห็ดหลินจือจะมีสารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ซึ่งจะช่วยยับยั้งและรักษาอาการต่างๆ (ประโยชน์ด้านล่าง) โดยแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารพอลิแซ็กคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นสายพันธุ์สีแดงที่กล่าวข้างต้น
เห็ดชนิดนี้จัดว่าเป็นของหายากที่มีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน โดยมีการยกย่องว่าเป็นยอดเห็ด เป็นเห็ดที่ดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน เพราะได้มีการบันทึกในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” (ตำราเก่าแก่ที่คนจีนนับถือกันมากที่สุด) ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือนี้เป็นเทพเจ้าแห่งชีวิต ที่มีพลังมหัศจรรย์นักวิทยาศาสตร์พบว่าในเห็ดชนิดนี้มีสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 250 ชนิด !! เป็นยาบำรุงร่างกายและใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รักษาโรคต่างๆได้หลายโรค และยังปลอดภัยไม่มีสารพิษใดๆ ต่อกับร่างกาย !
พื้นที่ปลูกเห็ดที่ดีที่สุด อยู่ในฟูเจี้ยนประเทศจีน
ข้อควรรู้และคำแนะนำ
- เห็ดหลินจือเหมาะกับใคร? เนื่องจากเห็ดชนิดนี้มีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคซะเป็นส่วนใหญ่ มันจึงเหมาะกับโรคของผู้สูงอายุและวัยก่อนสูงอายุ ที่เป็นโรคดังกล่าวข้างต้น
- รูปแบบของการรับประทาน แบ่งได้หลายรูปแบบ อย่างแรกเลยก็คือยาต้มแบบโบราณ ด้วยการนำเห็ดหลินจือที่แห้งนำมาต้มและเคี่ยว ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างยุงยากและไม่สะดวก แบบที่สอง คือเนื้อเห็ดหลินจือบดเป็นผงบรรจุแคปซูล หากไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออาจทำให้มีเชื้อราปนเปื้อนได้ โดยรูปแบบนี้จะมีความเข้มน้อยและดูดซึมได้ยาก แบบที่สามซึ่งเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ เห็ดหลินจือสกัด หรือ สารสกัดจากเห็ดหลินจือแคปซูล ซึ่งจะได้สารสกัดที่เข้มข้นมีสรรพคุณที่ดีกว่า ดูดซึมและออกฤทธิ์ได้ดีกว่า ที่สำคัญก็คือมีมาตรฐานการผลิตที่สะอาดและปลอดภัย เช่น เห็ดหลินจือโครงการหลวง
- เห็ดหลินจือกินอย่างไร? สำหรับเวลาที่เหมาะสมก็คือการรับประทานตอนเช้าในขณะที่ท้องว่าง แล้วดื่มน้ำตามมากๆ ถ้าทานร่วมกับวิตามินซีด้วยก็จะดีมากเพราะจะช่วยเสริมสรรพคุณ และสำหรับผู้ที่ต้องกินยากดภูมิต้านทานหรือผู้ที่เป็นโรค SLE หรือผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะควรงดการรับประทาน
- ผลข้างเคียงของเห็ดหลินจือ สำหรับผู้ที่เริ่มรับประทานเห็ดหลินจือใหม่ๆ อาจจะรู้สึกเวียนศีรษะ อาเจียน ง่วงนอน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ เกิดอาการท้องผูก ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย ผิวหนังเกิดอาการคัน เป็นต้น แต่ก็ถือเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่เป็นเรื่องปกติของการบำบัดด้วยสมุนไพร เมื่อตัวยาเข้าไปในร่างกาย จะเข้าไปชำระล้างสารพิษต่างๆ ให้สลายไปหรือเคลื่อนไปช่วยย้ายขับสารพิษออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2-7 วันก็จะกลับสู่สภาวะปกติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน หากมีอาการคุณสามารถรับประทานต่อไปได้เลย แต่หากมีอาการมากก็ควรลดปริมาณลง จนกว่าอาการจะเป็นปกติและให้รับประทานตามคำแนะนำต่อไป และสำหรับผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ก็สามารถรับประทานเห็ดชนิดนี้ควบคู่ไปได้
วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ชาเขียว
ชาเขียว หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Green tea ถือได้ว่าเป็นชาที่มีคนนิยมดื่มกันมาก เพราะมีประโยชน์ มากมายต่อร่างกาย คนที่ใส่ใจในสุขภาพก็จะรู้ถึงคุณประโยชน์ของชาเขียวเป็นอย่างดี
"ชา" ถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่รู้จักกันมานาน พอๆกับกาแฟ ข้นตอนและวิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตก็มีความละเอียดอ่อนไม่แพ้กัน คนจีนและคนอังกฤษ ดื่มชามาเป็นเวลานับพันปีแล้ว มาถึงปัจจุบันความนิยมในการดื่มชาก็ยังไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชานั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดมาก สามารถ แบ่งประเภทหลักๆ ได้ 6 ประเภท ได้แก่ ชาขาว ชาเหลือง ชาเขียว ชาอูหลง ชาดำ และชาผูเอ่อร์ ซึ่งจะแบ่งตามการแปรรูปชา ดังนี้
ชาขาว: ตูมชาและยอดอ่อนชาที่ถูกทิ้งให้สลด แต่ไม่ได้บ่ม เมื่อชงชาแล้วจะได้ครื่องดื่มที่มีสีเหลืองอ่อน
- ชาเหลือง: ใบชาที่ไม่ได้ถูกทิ้งให้สลด และไม่ได้บ่ม แต่ทิ้งใบชาให้เป็นสีเหลือง
- ชาเขียว: ใบชาที่ไม่ได้ถูกทิ้งให้สลดและไม่ได้บ่ม เมื่อชงจะได้เครื่องดื่มสีเขียวอ่อน
- ชาแดง: ใบของชาเขียวที่ผ่านกระบวนการออกซิเดชั่นหรือการหมัก จนได้เป็นใบชาสีเข้ม เมื่อชงจะได้เครื่องดื่มสีน้ำตาลแดง
- ชาอูหลง: ใบชาที่ทิ้งให้สลด นวด และบ่มเล็กน้อย เรียกได้ว่าเป็นชาประเภทกึ่งหมักหรือชาที่ผ่านการหมักเพียงบางส่วน ทำให้มีสี กลิ่นหอม และ รสชาติ อยู่ระหว่าง ชาเขียว และ ชาดำ
- ชาดำ: ใบชาที่ทิ้งให้สลด (อาจมีการนวดอย่างแรง) และผ่านการบ่มเต็มกระบวนการ เครื่องดื่มที่ได้มีสีแดงเข้มจนถึงสีดำ
- ชาหมัก: ชาเขียวที่ผ่านกระบวนการหมักนานนับปี
นักวิทยาศาสตร์ชาวสิงคโปร์พบว่า การดื่มน้ำชา ช่วยให้สมองสดชื่น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนั้น ชาบางชนิด เช่น ชาอัญชัน ชาใบหม่อน เจี่ยวกู้หลาน และชาหญ้าหวาน ยังมีประโยชน์ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดคอเลสเตอรอลภายในร่างกาย ช่วยยับยั้งโรคมะเร็ง และโรคเบาหวานอีกด้วย
ชาที่เป็นที่นิยม มากที่สุด ก็คือชาเขียว ซึ่งมีสรรพคุณ และมีคุณค่าต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาไปในตัวด้วยโดยสามารถช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์ อุดมไปด้วยสารแคซิทิน (Catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็งและสามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงที่มีในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุฟูลออไรด์สูงเป็นส่วนในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง กลิ่นหอม ทำให้ชุ่มคอ หากอยากลดน้ำหนัก การดื่มชาตอนเช้าช่วยในการป้องกันฟันผุได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ควรจะดื่มในปริมาณที่พอดีไม่มากเกินไปจนส่งผลไม่ดีต่อร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณประโยชน์ขนาดไหน แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปก็เกิดผลเสียต่อร่างกายนะครับ เพราะฉนั้นแล้วเราควรที่จะบริโภคให้พอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด
ฝากน้ำชานี้ด้วยครับ
วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เรี่องของกาแฟ (ภาคจบ) การชง
เขียนไปเขียนมา เรื่องของกาแฟก็ยังไม่จบซักที นี่ก็เข้าบทความที่ 5 เรียกได้ว่าเป็นมหากาบย์กาแฟไปเลย เพราะว่าแต่ละขั้นตอนของการผลิตกาแฟสดนั้นมีความละเอียดละเมียดละมัย มาก แรกที่เริ่มเขียนก็ไม่นึกว่าจะมีเรื่องราวมากมายขนาดนี้ แต่พอได้เริ่มศึกษาค้นหาพบว่ายิ่งค้นหาก็ยิ่งมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกาแฟเยอจริงๆ ก็เลยต้องนำเสนอกับผู้สนใจไปทีละขั้นตอน ข้้นต่อไปที่ผมจะนำเสนอของเส้นทางกาแฟนั้น ถือว่ามีสำคัญมากๆ หรืออาจจะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นตอนสุดท้าย ของกระบวนการผลิต ก่อนถึงผู้ดื่มหรือลูกค้า จะอร่อยไม่อร่อย จะรสชาติดีหรือไม่ดี ขั้นตอนนี้จะเป็นตัวตัดสินว่ากระบวนการทั้งหมดที่ทำมาจะไม่มีความหมายหรือไม่ ก็อยุ่ที่ขั้นตอน คงอยากรู้แล้วนะครับว่าคืออะไร มันก็คือขั้นตอนวิธีการชงกาแฟนั้นเองครับ กาแฟมีหลากหลายรสชาติที่เราได้ดื่มทุกวันนี้เกิดจากการชง ผู้ทีมีอาชีพชงกาแฟ เขาเรียกว่า “ บาริสต้า “(Barista) แต่การจะเป็นได้นั้นต้องมีดีมากกว่าคนชงกาแฟทั่วไป บาริสต้า ในภาษาอิตาเลียน หมายถึง บาร์เทนเดอร์ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ทำงานหลังเคาน์เตอร์ เสิร์ฟเครื่องดื่มร้อนและเย็นทั้งชนิดที่เป็นแอลกอฮอล์หรือไม่เข้าแอลกอฮอล์ ไม่ได้หมายถึงคนชงกาแฟโดยเฉพาะ
แต่ "บาริสต้า" มีความหมายแคบลง เมื่อชาวอังกฤษขอยืมคำนี้ไปใช้และหมายถึงคนชงกาแฟ และยังมีคำว่า "บาริสโต้" (Baristo) ในภาษาอังกฤษอีกคำที่หมายถึง คนชงกาแฟที่เป็นผู้ชาย ในวัฒนธรรมอิตาลีซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟแห่งแรกในโลก แนะนำว่า ข้อสำคัญสำหรับบาริสต้า ต้องมี 4 เอ็ม (ในภาษาอิตาเลียน) ได้แก่
Machina คือ เครื่องทำกาแฟ เอสเปรสโซแมชชีน
Miscela คือ การเบลนด์หรือผสมกาแฟพันธุ์ต่างๆ จากแหล่งปลูกต่างๆ กัน
Macinadosatore คือ เครื่องบดกาแฟ
Mano คือ คนทำกาแฟ หรือบาริสต้า
คุณสมบัติที่จำเป็นของการเป็นบาริสต้า คือ
1.รอบรู้เรื่องกาแฟ ตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก สายพันธุ์กาแฟ รสชาติ กลิ่น สี น้ำมันของกาแฟชนิดต่างๆ จนถึงการเลือกเมล็ดที่คั่วและบดให้พอดีกับความละเอียดของเครื่องชง จากนั้น ต้องรู้วิธีการอัดกาแฟเข้าก้านชงกาแฟ หรือ Tamper ที่อัดได้แน่นพอเหมาะ ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป การกะระยะเวลาน้ำกาแฟ อุณหภูมิการชง การทำฟองนม รวมถึงเชี่ยวชาญด้านเครื่องมือต่างๆ ในการชงกาแฟ
บางร้าน บาริสต้าจะคิดค้นเมนูเครื่องดื่มที่เป็นแบบฉบับของร้านเอง (ซิกเนเจอร์ ดริงก์)
2. รักงานด้านบริการและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ที่อิตาลี บาริสต้าต้องเป็นผู้ควบคุมบาร์ทั้งหมด ทั้งต้อนรับลูกค้า พูดคุยกับลูกค้า ดูแลหน้าร้านความสะอาด
บาริสต้าที่ดี จะจำชื่อลูกค้าได้ เครื่องดื่มที่ลูกค้าชอบ บางคนจำไปถึงชื่อลูก และรถที่ลูกค้าขับมา
3. มีทักษะที่คล่องแคล่วในการทำงาน การชงกาแฟอย่างรวดเร็วบ่งบอกถึงความชำนาญในงาน ลูกค้าจะได้ประทับใจและเป็นการฝึกฝีมืออยู่เรื่อยๆ
4. มีไหวพริบปฏิภาณในการสื่อสารกับลูกค้า การรับคำสั่งจากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการแนะนำเมนูให้กับลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเครื่องดื่มชนิดไหนดี อีกทั้ง ต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากลูกค้าได้เครื่องดื่มที่ไม่ตรงตามที่สั่งหรือไม่พอใจรสชาติ
ถ้าใครสนใจที่จะเป็นนักชงกาแฟมืออาชีพก็ไปเสาะหาเรียนรู้เข้าครอสเรียนเอานะครับ เพราะว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจและตลาดแรงงานกำลังต้องการในตอนนี้ครับ
มาเข้าเรื่องของรสชาติกาแฟกันบ้างครับ รสชาติกาแฟเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ดื่มแต่ละคนก็จะชื่นขอบรสชาติกาแฟต่างกันไป มาดูกันว่ามีรสชาติอะไรกันบ้าง
แต่ "บาริสต้า" มีความหมายแคบลง เมื่อชาวอังกฤษขอยืมคำนี้ไปใช้และหมายถึงคนชงกาแฟ และยังมีคำว่า "บาริสโต้" (Baristo) ในภาษาอังกฤษอีกคำที่หมายถึง คนชงกาแฟที่เป็นผู้ชาย ในวัฒนธรรมอิตาลีซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟแห่งแรกในโลก แนะนำว่า ข้อสำคัญสำหรับบาริสต้า ต้องมี 4 เอ็ม (ในภาษาอิตาเลียน) ได้แก่
Machina คือ เครื่องทำกาแฟ เอสเปรสโซแมชชีน
Miscela คือ การเบลนด์หรือผสมกาแฟพันธุ์ต่างๆ จากแหล่งปลูกต่างๆ กัน
Macinadosatore คือ เครื่องบดกาแฟ
Mano คือ คนทำกาแฟ หรือบาริสต้า
คุณสมบัติที่จำเป็นของการเป็นบาริสต้า คือ
1.รอบรู้เรื่องกาแฟ ตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก สายพันธุ์กาแฟ รสชาติ กลิ่น สี น้ำมันของกาแฟชนิดต่างๆ จนถึงการเลือกเมล็ดที่คั่วและบดให้พอดีกับความละเอียดของเครื่องชง จากนั้น ต้องรู้วิธีการอัดกาแฟเข้าก้านชงกาแฟ หรือ Tamper ที่อัดได้แน่นพอเหมาะ ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป การกะระยะเวลาน้ำกาแฟ อุณหภูมิการชง การทำฟองนม รวมถึงเชี่ยวชาญด้านเครื่องมือต่างๆ ในการชงกาแฟ
บางร้าน บาริสต้าจะคิดค้นเมนูเครื่องดื่มที่เป็นแบบฉบับของร้านเอง (ซิกเนเจอร์ ดริงก์)
2. รักงานด้านบริการและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ที่อิตาลี บาริสต้าต้องเป็นผู้ควบคุมบาร์ทั้งหมด ทั้งต้อนรับลูกค้า พูดคุยกับลูกค้า ดูแลหน้าร้านความสะอาด
บาริสต้าที่ดี จะจำชื่อลูกค้าได้ เครื่องดื่มที่ลูกค้าชอบ บางคนจำไปถึงชื่อลูก และรถที่ลูกค้าขับมา
3. มีทักษะที่คล่องแคล่วในการทำงาน การชงกาแฟอย่างรวดเร็วบ่งบอกถึงความชำนาญในงาน ลูกค้าจะได้ประทับใจและเป็นการฝึกฝีมืออยู่เรื่อยๆ
4. มีไหวพริบปฏิภาณในการสื่อสารกับลูกค้า การรับคำสั่งจากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการแนะนำเมนูให้กับลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเครื่องดื่มชนิดไหนดี อีกทั้ง ต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากลูกค้าได้เครื่องดื่มที่ไม่ตรงตามที่สั่งหรือไม่พอใจรสชาติ
ถ้าใครสนใจที่จะเป็นนักชงกาแฟมืออาชีพก็ไปเสาะหาเรียนรู้เข้าครอสเรียนเอานะครับ เพราะว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจและตลาดแรงงานกำลังต้องการในตอนนี้ครับ
มาเข้าเรื่องของรสชาติกาแฟกันบ้างครับ รสชาติกาแฟเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ดื่มแต่ละคนก็จะชื่นขอบรสชาติกาแฟต่างกันไป มาดูกันว่ามีรสชาติอะไรกันบ้าง
กาแฟเอสเพรสโซ่ เป็นเหมือนกับสารตั้งต้นของกาแฟรสต่างๆ
คือการชงกาแฟผ่านเครื่องชงเอสเพรสโซ่จะได้น้ำกาแฟเข้มข้น 1 - 1.5 ออนซ์ ซึ่งเอสเพรสโซ่ที่ดีจะต้องเข้มข้น และมีอัตราการไหลจากเครื่องชงอยู่ในระยะเวลา 18- 23 วินาที ต่อ 1 ช็อต เมื่อได้กาแฟเอสเพรสโซ่แล้วก็นำ ไปเป็นส่วนผสมของกาแฟดังนี้
1. กาแฟอเมริกันโน่
ใช้กาแฟวีพีพี สูตรเอสเพรสโซ่ ซองสีเขียว จำนวน 10 กรัม ชงด้วยเครื่องชงกาแฟ เอสเพรสโซ่ ได้น้ำกาแฟ 1.5 ออนซ์ เติมน้ำร้อนเพิ่มประมาณ 4-5 ออนซ์ จะได้กาแฟร้อนอเมริกันโน่ หอมกรุ่นรสนุ่ม
2. กาแฟลาเต้ร้อน
ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่า ซองสีส้ม จำนวน 10 กรัมชงด้วยเครืองชงเอสเพรสโซ่ ได้น้ำกาแฟปริมาณ 1.5 ออนซ์ หลังจากนั้น นำนมจืด มาทำการสตีมฟองนมให้มีอุณหภูมิประมาณ 60 เซสเซียส นมจะหอมกรุ่นในฟองนุ่ม รินน้ำนมลงแก้วกาแฟร้อนทรงสูง ที่มีความจุ 8-10 ออนซ์ ประมาณ 3 ส่วน 4 ของแก้ว ทิ้งสัก 30-60 วินาที ให้นมร้อนและครีมฟองนมแยกออกจากกัน แล้วเทกาแฟร้อนเอสเพรสโซ่ลงไป กาแฟและนมจะแยกชั้นออกจากกันสวยงาม แต่งด้านบนด้วยฟองนมอีกเล็กน้อยไม่ให้เห็น รอยจากการเทกาแฟ
3. กาแฟคาปูชิโน่
ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่าซองสีส้ม จำนวน 10 กรัมชงด้วยเครืองชงเอสเพรสโซ่เหมือนกับการชงลาเต้และทำการสตีมนมร้อนเช่นเดียวกันแต่ให้ฟองนม ละเอียดและเนียนกว่า หลังจากนั้นเทนมร้อนลงในแก้วกาแฟร้อนที่ใส่กาแฟเอสเพรสโซ่อยู่โดยค่อยๆ รินให้อยู่ตรงกลางถ้วย และมีขอบสี น้ำตาลจากกาแฟอยู่รอบนอก จนได้ครึ่งแก้วแล้วเริ่มตักฟองนมลงแก้วกาแฟอย่าให้ขอบของกาแฟแตก ใส่ฟองนมจนฟองนมนูนขึ้นมา สวยแล้วโรยหน้าด้วย ผงชินเนมอนหรือโก้โก้
4. กาแฟมอคค่า
ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่าซองสีส้ม จำนวน 10 กรัม ชงด้วยเครื่องเอสเพรสโซ่ หลังจากนั้นใส่ไซรับโกโก้ ลงไปรวมกับกาแฟร้อน ประมาณ ครึ่งออนซ์ หรือ 2 ชา คนให้เข้ากัน แล้วเทนมร้อน ลงไปจนได้ปริมาณ 3 ส่วน 4 แก้ว แล้วเติมฟองนม
สำหรับเรื่องของกาแฟบทความนี้คงต้องมาถึงตอนอวสานแล้วนะครับเพราะกระบวนทั้งหมดของกาแฟสด สิ้นสุดตรงที่สุดของปลายสายการผลิตแล้วคือผู้บริโภค ส่วนกาแปรรูฟกาแฟไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ผมคงไม่พูดถึง ก็หวังว่าผู้ติดตามคงเต็มอิ่มกับเรื่องของกาแฟแล้ว สุดท้ายก็ขอให้นักดื่มกาแฟทั้งหลายเพลิดเพลินกับกาแฟถ้วยโปรดของคุณนะครับ......
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
มีมิวสิควีดีโอมาฝากเหมือเดิม
วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
Coffee and Ganoderma lucidum: เรื่องกาแฟ (ภาคต่อ 4) การบดกาแฟ
Coffee and Ganoderma lucidum: เรื่องกาแฟ (ภาคต่อ 4) การบดกาแฟ: เมื่อเราได้คั่วกาแฟเสร็จแล้วตามขั้นต้อนในบทความที่แล้ว ก็นำกาแฟที่ได้มาเข้าสู่กระบวนการบด ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แบบด้วยกันตามตารางด้านล...
เรื่องกาแฟ (ภาคต่อ 4) การบดกาแฟ
เมื่อเราได้คั่วกาแฟเสร็จแล้วตามขั้นต้อนในบทความที่แล้ว ก็นำกาแฟที่ได้มาเข้าสู่กระบวนการบด ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 แบบด้วยกันตามตารางด้านล่าง โดยในแต่ละการบดก็จะมีการชงที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่หลากหลาย
แบบกด
|
แบบต้ม
|
แบบกรอง
|
เครื่องชง
|
เวลาที่ใช้ในการบด
| |
บดหยาบ | * | 8-10 วินาที | |||
บดหยาบปานกลาง | * | 12-15 วินาที | |||
บดละเอียด | * | 20-25 วินาที | |||
บดละเอียดมาก | * | 25-30 วินาที | |||
เวลาใช้ในการชง | 4-6 นาที | 4-6 นาที | 1-4 นาที | 10-20 วินาที | |
ปริมาณน้ำกาแฟ/ถ้วย | 4 ออนซ์ | 2 ออนซ์ | 2 ออนซ์ | 2 ออนซ์ |
เครื่องบดกาแฟ อุปกรณ์ที่ใช้ในการชงมีหลายชนิด แต่ละชนิดย่อมต้องการการบดเมล็ดกาแฟที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องใช้เครื่องบดให้มีความสัมพันธ์กับการชง ในอดีตการบดใช้วิธีการตำในครก ต่อมาได้มีการประดิษฐ์เครื่องบดด้วยมือ ปัจจุบันมีเครื่องบดกาแฟไฟฟ้า ที่สามารถบดกาแฟได้เองที่บ้าน เครื่องบดที่แนะนำให้ใช้ คือ เครื่องบดไฟฟ้า ที่สามารถปรับความหยาบและความละเอียดของการบดได้ ถ้าอยากประหยัดงบประมาณ ให้ใช้แบบครกไฟฟ้า แต่จะต้องฝึกฝนให้ชำนาญกับเครื่องบดกาแฟชนิดต่าง ๆ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ง่าย แต่ถ้าในกรณีที่ไม่มีเครื่องบดใช้ ก็ให้ทางร้าน ที่ขายเมล็ดกาแฟคั่ว บดให้ อย่าลืมบอกผู้ขายด้วยว่าใช้เครื่องชงชนิดใด เพื่อที่ผู้ขายจะได้บดให้ถูกต้อง และถ้าเจอร้านที่บดกาแฟให้ออกมาเป็นแบบเดียวกันหมดโดยไม่สนใจว่าใช้เครื่องชงชนิดใด ก็เป็นการเตือนให้ทราบว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนไปซื้อร้านใหม่แล้ว |
ข้อควรจำในการบดกาแฟ 1. เมล็ดกาแฟที่ยิ่งบดละเอียด โอกาสที่เนื้อกาแฟจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและสัมผัสกับน้ำมีมากขึ้น ดังนั้น ระยะเวลาที่จะชงและกรองกากกาแฟ จักต้องใช้เวลาน้อย 2. ถ้ากาแฟบดหยาบ ปริมาณเนื้อกาแฟจะสัมผัสกับอากาศและน้ำน้อยลง การชงก็ต้องใช้เวลามากขึ้น |
การเลือกซื้อก็แล้วแต่งบประมาณของแต่ละคนนะครับว่ามีงบขนาดไหน คิดจะลงทุนทำธุรกิจอะไรซักอย่างหนึ่งก็ต้องคำนวญเงินในกระเป๋าเราดูก่อนนะครับว่ามีมากน้อยขนาดไหน ช่องทางธุรกิจไปได้ดีใหม การเติบโตของธุรกิจดีหรือเปล่า สินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดขนาดไหน ก็ขอให้ประสบความสำเร็จในทำธุรกิจในทุกคนนะครับ
ขอบคุณที่ติดตาม
******************************************************************************
ส่งท้ายประจำด้วย เพลงครับ ความรักไม่มีเงื่อนไขไดๆ
วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เรื่่องของกาแฟ (ภาคต่อ 3 ) การคั่วกาแฟ
วางเว้นจากการเขียนไปหลายวันเหมือนกันเพราะต้องภารกิจที่ต้องทำเร่งด่วน จึงไม่มีโอกาสเขียน จากที่ผมได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกาแฟมาพอสมควรแล้วในบทความก่อนหน้า คิดว่าผู้ที่ติดตามคงได้ความรู้เรื่องกาแฟไปประดับสมองบ้าง หลายคนคงจะคิดว่าผมไปรู้เรื่องกาแฟมากจากไหน ตอบได้เลยว่า ก็ในอินเทอร์เน็ตนี้ละ อันที่จริงๆแล้วผมแค่ทำหน้าที่เป็นผุ้รวบรวมข้อมูลจากหลายที่และนำมาปรุงแต่งเล็กน้อยให้มีความสมบูรณ์ขึ้น เท่านัน
จากเรื่องราวที่ค้างไว้ในบทความก่อน เมื่อมีการเก็บเกี่ยวแล้วก็ต้องนำผลผลิตที่ได้มาแปรรูปเป็นสินค้า ขั้นตอนต่อไปหลังจากเกีบเกี่ยวแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการคั่วบดกาแฟ เพื่อนำไปแปรรูปเป็นสินค้าต่างๆต่อไป มาดูวิธีการกัน
กระบวนการคั่วเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ในการที่จะได้กาแฟรสชาติดีสักถ้วยหนึ่ง. เมื่อถูกคั่ว เมล็ดกาแฟสีเขียวก็จะพองออกจนเกือบจะมีขนาดเป็นสองเท่าของของเดิม พร้อมทั้งเปลี่ยนสีและความหนาแน่นไป เมื่อเมล็ดได้รับความร้อน มันจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและในที่สุดก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบสีของผลอบเชย (cinnamon) และมันก็จะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกยกออกจากความร้อน พร้อมกันนี้ เราก็จะเห็นน้ำมันออกมาตามผิวของเมล็ด ในการคั่วแบบอ่อนๆ กาแฟจะเก็บรสชาติดั้งเดิมไว้ได้ดีกว่า รสชาติดั้งเดิมนี้จะขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศในที่ที่ต้นกาแฟได้เติบโตขึ้นมา. เมล็ดกาแฟจากพื้นที่ที่มีชื่อเสียง เช่น เกาะชวา และประเทศเคนยา จะถูกคั่วเพียงอ่อนๆ เท่านั้นเพื่อให้ยังคงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ให้มากที่สุด
ยิ่งเมล็ดกาแฟถูกคั่วให้เข้มมากขึ้นเท่าไหร่ รสชาติดั้งเดิมของมันก็จะยิ่งถูกบดบังด้วยรสที่เกิดจากการคั่วมากขึ้นเท่านั้น กาแฟบางประเภทที่ถูกคั่ว จนรสชาติแทบจะไม่ได้บ่งบอกถึงสถานที่ปลูกเลย จะถูกขายโดยใช้ระดับของการคั่วเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่ "อบเชยคั่วอ่อนๆ (Light Cinnamon Roast) " ไปจนถึง "การคั่วแบบเวียนนา (Vienna Roast) " และ "การคั่วแบบฝรั่งเศส (French Roast) " และอื่นๆ
ในศตวรรษที่ 19 เมล็ดกาแฟมักจะถูกซื้อขายขณะที่ยังเป็นเมล็ดเขียวๆ อยู่ และก็มักจะนำไปคั่วในกระทะสำหรับทอด การคั่วในลักษณะนี้ต้องใช้ความชำนาญสูงมาก สำหรับการสูญเสียรสชาติของเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่วนั้น สามารถป้องกันได้โดยการบรรจุในห่อสุญญากาศ แต่ปัญหาก็คือการที่เมล็ดกาแฟจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นวันๆ หลังจากที่ถูกคั่วเสร็จใหม่ๆ ผู้ผลิตจึงต้องปล่อยให้กาแฟที่คั่วแล้วค้างไว้ก่อนที่จะนำไปบรรจุลงห่อสุญญากาศได้ ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีสองชนิดจึงได้ถูกพัฒนาขึ้นมา บริษัทอิลลี (Illy) ได้ใช้กระป๋องอัดความดัน (pressurized can) ส่วนผู้ผลิตกาแฟคั่วรายอื่นๆ ใช้วิธีการบรรจุเมล็ดทั้งอันลงในถุงทันทีที่คั่วเสร็จโดยใช้วาล์วปล่อยความดัน (pressure release valves).
1.การคั่วระดับอ่อน Light Roast
เป็นการคั่วที่ใช้อุณหภูมิความร้อนที่ประมาณ 350/*F เวลาประมาณ 15-20 นาที (ตามหลักการ)เมื่อเมล็ดได้รับความร้อน มันจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและในที่สุดก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบสีของผลอบเชย (Cinnamon) จะไม่มีความมันที่ผิวเมล็ดในระหว่างการคั่วเราจะได้ยินเสียงการแตกของกาแฟดัง 1ครั้ง กาแฟที่ผ่านการคั่วในระดับนี้จะมีรสขมเข้มเล็กน้อย นุ่มนวลกลมกล่อม และมีรสเปรี้ยวอมหวามซึ่งเกิดจากความเป็นกรด (Acidity) ในกาแฟ พร้อมกันนี้ ในการคั่วแบบอ่อนๆ กาแฟจะเก็บรสชาติดั้งเดิมไว้ได้ดีกว่า รสชาติดั้งเดิมนี้จะขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศในที่ที่ต้นกาแฟได้เติบโตขึ้นมา. เมล็ดกาแฟจากพื้นที่ที่มีชื่อเสียง เช่น เกาะชวา และประเทศเคนยา จะถูกคั่วเพียงอ่อนๆ เท่านั้นเพื่อให้ยังคงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นเมล็ดกาแฟ Arabiแca Peaberry ที่มาจากดอยช้างของเราจึงแนะนำให้คั่วในระดับนี้จะดีที่สุด
2.การคั่วระดับกลาง Medium Roast
กาแฟที่มีความเข้มปานกลางเมล็ดกาแฟเป็นสีน้ำตาลและมีความมันจากน้ำมันในเมล็ดเคลือบ เจือจางคั่วที่อุณหภูมิ 400-430องศาฯ*Fใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที (ตามหลักการ) และในระหว่างการคั่วเราจะได้ยินเสียงการแตกของกาแฟดัง 2 ครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่สมบรูณ์ในการที่จะได้กาแฟคั่วระดับนี้ กาแฟที่ได้จะมีรสข้มเข้มขึ้นอย่างกลมกล่อม กลิ่นหอมอีกระดับ รสเปรี้ยวอมหวานลดลงเพราะความเป็นกรด (Acidity) ในกาแฟถูกความร้อนในการคั่วที่มากกว่าทำให้ความเป็นกรดลดลง
3.การคั่วระดับเข้ม Dark Roast
เมล็ดกาแฟที่คั่วเสร็จแล้วจะมีสีสีน้ำตาลแก่เกือบไหม้ ที่คั่วในอุณหภูมิ 450องศาฯ*F ระยะเวลาประมาณ 15-20 นาที(ตามหลักการ)หรืออาจจะใช้ความร้อนที่น้อยกว่านี้แต่ใช้เวลาที่ยาวนานกว่าระดับอื่นกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้มขึ้น มากอมน้ำตาลแดง แต่ไม่ถึงกับดำ ที่ผิวของเมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันซึมเคลือบผิว กาแฟที่ได้จะมีรสข้มเข้มมากขึ้น หนักแน่นกลิ่นหอมของกาแฟรุนแรงในช่วงแรกปราศจากรสเปรี้ยวเพราะความเป็นกรด(Acidity)ถูกความร้อน ทำลายไปจนหมดการคั่วในระดับDark Roastนี้นั้นได้รับความนิยมมากสำหรับคอกาแฟที่ชอบความเข้มมากๆและมีชื่อเรียกอย่างแพร่หลาย และเข้าสอดคล้องกัน ว่าการคั่วแบบ “Espresso” เอสเพรสโซ่ เป็นการคั่วกาแฟแบบอิตาเลียน คือการคั่วไปจนถึงขีดจำกัดที่เมล็ดกาแฟควรจะได้รับซึ่งผลที่ได้รับเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก แต่การคั่วในระดับน ี้ก็ยากมากเช่นเดียวกัน เมล็ดกาแฟที่คั่วจนได้ระดับนี้จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำและมีความมันเงาอยู่บนเปลือกนอก สามารถนำเมล็ดไปบดให้ระเอียดได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัตที่สำคัญมากของกาแฟเอสเพรสโซ่ แต่ปัจจุบันนี้การคั่วในระดับเข้มแบบอิตาเลียนไม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอีกต่อไป
เพราะเป็นการคั่ที่ทำลายส่วนที่ดีของกาแฟไปจนหมดหลงเหลือไว้เพียงแค่คาร์บอนหรือถ่านเมล็ดกาแฟเท่านั้น
ระหว่างที่ทำการคั่วนั้นความร้อนจะทำให้เมล็ดกาแฟเกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านตั้งแต่ขนาด,สี,น้ำหนัก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ กาแฟจะมีปริมาติเพิ่มขึ้น 60% เนื่องจากความร้อนทำใหก๊าซ (คาบอนไดอ็อกไซด์) ขยายตัวออกมาส่งผลให้เมล็ดกาแฟมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่มีน้ำหนักที่ลดลงประมาณ10-15% เนื่องจากกาแฟสูญเสียความชื้นและองค์ประกอบอื่นๆที่สลายไประหว่างการคั่ว สีก็เปลี่ยนจากสีเขียวอมน้ำเงิน (Green Bean) เป็นสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำซึ่งเป็นผลจากน้ำตาลในเมล็ดกาแฟเปลี่ยนเป็นคาราเมล นอกจากนี้กาแฟยังมีสูญเสียความแข็งแรงทนทาน เนื่องจากความร้อนทำให้เกิดความเปราะบางมากขึ้นและนี่ก็คือเป็นลักษณะที่พร้อมจะถูกนำไปบดนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการคั่วกาแฟนั้นมีความสำคัญจริงๆ เพราะเป็นตัวกำหนดรสชาติของกาแฟโดยแท้จริง ไม่ว่ากาแฟที่คุณปลูกนั้นจะดูแล และ ได้ผลผลิตดีออกมาดีแค่ไหน แต่ถ้าขาดความชำนาญในการคั่วนั้น ก็แทบจะไม่มีค่าเลย เห็นใหมครับว่ากว่าจะได้กาแฟสดรสชาติดีๆ ให้เราดื่มทุกวันนั้น มันยากเย็นและละเอียดแค่ไหน ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการดื่มกาแฟนะครับ
ขอบคุณในการติดตาม
ฝากเธอไว้ด้วนนะครับ dia
ฝากเธอไว้ด้วนนะครับ dia
วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557
การเก็บเกี่ยว
1.การเก็บเกี่ยวผลกาแฟ
ต้นกาแฟจะโตเต็มที่พร้อมผลิดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 4-5 ปี และจะให้ผลเรื่อยไปจนอายุ 30 ปี ส่วนระยะเวลาที่เก็บเกี่ยวผลกาแฟนั้นจะ แตกต่างกันไปตามสถานที่ปลูก ประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรสามารถเก็บเกี่ยวได้ระหว่าง เดือน กันยายนถึงเดือนมีนาคม ประเทศที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรเก็บเกี่ยวช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และอาจยาวไปถึงเดือนสิงหาคม ส่วนประเทศที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตรพอดีสามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี แต่ถ้าประเทศไหนหน้าร้อนหน้าฝนไม่ค่อยต่างกันมากนักจะเก็บเกี่ยวได้ถึงปีละ 2 ครั้ง
ผลกาแฟที่เริ่มแก่พร้อมที่จะเก็บได้จะเปลี่ยนสีจากสีเขียว เป็นสีแดงสด และเมื่อแดงตลอดทั้งผล ก็หมายความว่าเริ่มสุกเต็มที่ จะต้องเก็บภายใน 3-4 วัน ก่อนที่สีแดงเข้มสวยนั้นจะเริ่มฉ่ำ กลายเป็นสีแดงแก่ก่ำ ดุจโกเมน
การเก็บผลผลิตที่แก่เต็มที่ เราจะบรรจงเก็บทีละผล เฉพาะเมล็ดกาแฟสีแดงสดที่สุกเต็มที่เท่านั้น ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ เราจะไม่เก็บผลกาแฟที่ยังสุกไม่ทั่วทั้งผล ฉ่ำ หรืองอม จนแก่เกินไปเป็นอันขาด และจะไม่มีการรูดกิ่งเพื่อเก็บผลกาแฟเพื่อประหยัดแรงงานอย่างเด็ดขาด กาแฟที่เก็บมาได้เราจะนำมาสีเปียกทันทีภายในเวลา 16.00น. ของวันที่เก็บเกี่ยวนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการ Fermentation หรือการบูดเปรี้ยว(อันจะทำให้กาแฟมีกลิ่นหืน)
วิธีการเก็บกาแฟสามารถเก็บได้ 2 วิธี คือ
1. แบบเด็ดทั้งกิ่งที่มีลูกกาแฟอยู่ กับ
2. แบบเลือกเก็บ
แต่เนื่องจากลูกกาแฟจะสุกไม่พร้อมกัน ดังนั้นการเก็บเกี่ยวกาแฟจึงนิยมใช้วิธีหลังมากกว่า ซึ่งทำให้คนเก็บต้องวนเวียนอยู่ที่ต้นเดิมประมาณ 8-10 วัน แต่ละครั้งเก็บได้เฉพาะลูกที่สุกได้ที่เท่านั้น ทำให้วิธีดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉลี่ย 1 วันจะสามารถเก็บผลผลิตกาแฟได้100-200 ปอนด์ ซึ่งคิดเป็นน้ำหนักเมล็ดที่ใช้จริงเพียง 20% หรือ 20-40 ปอนด์เท่านั้น ผู้เก็บต้องใช้เวลา 6-10 วันในการเก็บผลกาแฟให้ได้ 1 กระสอบ
การแยกกาแฟ
หลังจากเก็บเกี่ยวผลกาแฟแล้ว ต้องนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ ให้พร้อมเป็นกาแฟที่เราดื่มกัน โดยต้องแยกเมล็ดกาแฟออกจากเปลือกและเนื้อของผลก่อน ซึ่งมี 2 วิธีด้วยกันคือ
1. แบบแห้ง ( dry method )
เป็นวิธีธรรมชาติและทำกันมานาน โดยตากผลกาแฟจนแห้งเหี่ยว หรือเอาเข้าเครื่องทำให้แห้งแล้วค่อยแกะเอาเมล็ดออก เมล็ดที่ได้จะมีเยื่อบางๆ เรียกว่า silver skin หุ้มอยู่
2. แบบเปียก ( wet method )
ที่ใช้น้ำล้างจนเนื้อกับเปลือกหลุดออกจากกัน กาแฟที่ได้จากวิธีนี้เรียกว่า washed coffees
เป็นวิธีธรรมชาติและทำกันมานาน โดยตากผลกาแฟจนแห้งเหี่ยว หรือเอาเข้าเครื่องทำให้แห้งแล้วค่อยแกะเอาเมล็ดออก เมล็ดที่ได้จะมีเยื่อบางๆ เรียกว่า silver skin หุ้มอยู่
2. แบบเปียก ( wet method )
ที่ใช้น้ำล้างจนเนื้อกับเปลือกหลุดออกจากกัน กาแฟที่ได้จากวิธีนี้เรียกว่า washed coffees
การคัดกาแฟ
หลังจากการแยกแล้วก็มาถึงการคัดขนาดของเมล็ดกาแฟ ขนาดเมล็ดกาแฟแบ่งขนาดตามหมายเลข 10-20 ตามลำดับเล็กถึงใหญ่ โดยการร่อนเมล็ดผ่านตะแกรงขนาดต่างๆ ซึ่งเกรดที่ได้จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยทั่วไปมีอยู่ 6 เกรด ที่สูงที่สุดคือ SHB-Strictly Hard Bean หรือ Strictly High Grown ที่ปลูกในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลอย่างน้อย 4,000 ฟุต
สำหรับประเทศเคนยาแบ่งเกรดเป็น A, B และ C ส่วน AA หมายถึงเมล็ด Supremo, Excelso, Extra และเกรดที่ต่ำที่สุดคือ Pasilla เมื่อเสร็จแล้วก็พร้อมส่ง เมล็ดกาแฟ พร้อมคั่วที่เรียกว่า green beans นี้ไปยังโกดังหรือไปให้ผู้คั่วกาแฟได้ทันที
การแปรรูปและคัดคุณภาพ
ผลกาแฟ(Coffee cherries)ที่เก็บมาใหม่ๆ จะนำมาสู่กระบวนการแปรรูปวัน
ต่อวัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการบูดเปรี้ยวทุกวันที่เก็บผลกาแฟเวลา16.30น.เราจะเริ่มสีกาแฟ (แบบสีเปียกหรือที่เรียกว่า wet processing) ก่อนที่จะนำกาแฟที่ได้จากการสีไปล้างเมือก ซึ่งกระบวนการล้างเมือกจะดำเนินไปอีก 6 ชั่วโมง และนำไปหมักน้ำอีกโดยใช้เวลาระหว่าง14-16 ชั่วโมงและคัดเมล็ดลอยน้ำและถึงจมกึ่งลอยออกทิ้งจนหมดสิ้นและเข้าสู่กระบวนการคัดเมล็ดโดยใช้ความถ่วงจำเพาะ หรือ Density Sorting อย่างเคร่งครัด
เมื่อผ่านกระบวนการสีผลกาแฟเพื่อนำเปลือกผลกาแฟออกด้วยกรรมวิธีสีเปียกและผ่านการล้างเมือกและหมักน้ำตามขั้นตอนของเราแล้วผลที่ได้คือกาแฟกะลาหรือกาแฟที่ยังมีเปลือกชั้นในอยู่ ขั้นตอนต่อไปคือขั้นตอนการตากกาแฟกะลาคือการทำให้กาแฟกะลามีความชื้นลดลง โดยการจากกาแฟกะลาให้ได้คุณภาพจะต้องตากกับแดดแรงๆให้ได้อย่างน้อย15แดดและจะต้องเก็บในเวลากลางคืนทุกครั้งเพือ่หลักเลี่ยงความชื้นจากน้ำค้างหรือฝนหลงฤดูมิฉะนั้นจะกลายเป็นกาแฟคุณภาพต่ำทันที
ผลกาแฟ(Coffee cherries)ที่เก็บมาใหม่ๆ จะนำมาสู่กระบวนการแปรรูปวัน
ต่อวัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการบูดเปรี้ยวทุกวันที่เก็บผลกาแฟเวลา16.30น.เราจะเริ่มสีกาแฟ (แบบสีเปียกหรือที่เรียกว่า wet processing) ก่อนที่จะนำกาแฟที่ได้จากการสีไปล้างเมือก ซึ่งกระบวนการล้างเมือกจะดำเนินไปอีก 6 ชั่วโมง และนำไปหมักน้ำอีกโดยใช้เวลาระหว่าง14-16 ชั่วโมงและคัดเมล็ดลอยน้ำและถึงจมกึ่งลอยออกทิ้งจนหมดสิ้นและเข้าสู่กระบวนการคัดเมล็ดโดยใช้ความถ่วงจำเพาะ หรือ Density Sorting อย่างเคร่งครัด
เมื่อผ่านกระบวนการสีผลกาแฟเพื่อนำเปลือกผลกาแฟออกด้วยกรรมวิธีสีเปียกและผ่านการล้างเมือกและหมักน้ำตามขั้นตอนของเราแล้วผลที่ได้คือกาแฟกะลาหรือกาแฟที่ยังมีเปลือกชั้นในอยู่ ขั้นตอนต่อไปคือขั้นตอนการตากกาแฟกะลาคือการทำให้กาแฟกะลามีความชื้นลดลง โดยการจากกาแฟกะลาให้ได้คุณภาพจะต้องตากกับแดดแรงๆให้ได้อย่างน้อย15แดดและจะต้องเก็บในเวลากลางคืนทุกครั้งเพือ่หลักเลี่ยงความชื้นจากน้ำค้างหรือฝนหลงฤดูมิฉะนั้นจะกลายเป็นกาแฟคุณภาพต่ำทันที
3.การบ่มสารกาแฟ
กะลากาแฟที่ตากแห้งแล้วจะนำมาใส่กระสอบบ่มในห้องบ่มกาแฟเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7-8 เดือน ก่อนจะนำมาสีกะลาอีกครั้งหนึ่งเมื่อบ่มจนความชื้นของกะลากาแฟได้ที่แล้ว เราจะนำกะลาออกโดยใช้เครื่องสีกาแฟที่คุณภาพดีเยี่ยม ที่ผลิตได้ในประเทศไทยเพื่อคุณภาพสารกาแฟ(เครื่องสีกาแฟชนิดนี้จะทำให้การคัดขนาดเมล็ดในเบื้องต้นและทำการคัดเมล็ดลีบเมล็ดแตก และเมล็ดไม่ได้น้ำหนักออกส่วนหนึ่งแล้ว)จากนั้นจะนำเข้าเครื่องคัดเกรดกาแฟอีกครั้ง เมื่อคัดเมล็ดกาแฟออกเป็น 4 ขนาด เพื่อรอกระบวนการขั้นสุดท้ายในการคั่วกาแฟ
กะลากาแฟที่ตากแห้งแล้วจะนำมาใส่กระสอบบ่มในห้องบ่มกาแฟเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7-8 เดือน ก่อนจะนำมาสีกะลาอีกครั้งหนึ่งเมื่อบ่มจนความชื้นของกะลากาแฟได้ที่แล้ว เราจะนำกะลาออกโดยใช้เครื่องสีกาแฟที่คุณภาพดีเยี่ยม ที่ผลิตได้ในประเทศไทยเพื่อคุณภาพสารกาแฟ(เครื่องสีกาแฟชนิดนี้จะทำให้การคัดขนาดเมล็ดในเบื้องต้นและทำการคัดเมล็ดลีบเมล็ดแตก และเมล็ดไม่ได้น้ำหนักออกส่วนหนึ่งแล้ว)จากนั้นจะนำเข้าเครื่องคัดเกรดกาแฟอีกครั้ง เมื่อคัดเมล็ดกาแฟออกเป็น 4 ขนาด เพื่อรอกระบวนการขั้นสุดท้ายในการคั่วกาแฟ
การชิมกาแฟ
อีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญก่อนการคั่วจริง คือการชิมกาแฟ ซึ่งใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ แต่จะต้องเป็น ผู้เชี่ยวชาญทางกาแฟเท่านั้นที่เป็นผู้ชิมติชมคุณภาพและรสชาติรวมทั้งความหอมของกาแฟ โดยพิจารณาจากลักษณะของเมล็ด หลังจากคั่วบดผสมน้ำแล้ว ให้ดมก่อนจึงทิ้งไว้ 3 นาที คนให้ละลายแล้วจึงตักเข้าปาก 1 ช้อน แล้วให้ เคี้ยว ขอย้ำว่า ” เคี้ยว ” ห้ามกลืนลงคอเด็ดขาดแล้วบ้วนทิ้ง ชิมเสร็จก็ให้ความคิดเห็นได้เลย โดยแบ่งเป็นหลายๆ หัวข้อ อย่างลักษณะภายนอก กลิ่น รสความเก่าใหม่ Acidity และข้อบกพร่องต่างๆ
จะเห็นได้ว่าขั้นตอนและวิธีการ ในการเก็บเกี่ยวและการคัดสรรเมล็ดกาแฟนั้นมีความยุ่งยากและละเอียดอ่อนมากๆ กว่าที่จะได้เป็นกาแฟที่เราดื่มกันทุกวันนี้ ไม่ได้ทำกันง่ายๆเลย นี้ถือว่ายังไม่จบกระบวนการผลิตของกาแฟเลย ยังเหลือวิธีการคั่ว การบด และอีกหลายขั้นตอน ก็ติดตามกันในบทความต่อไป เรื่องของกาแฟ ยังมีให้เราได้ศึกษาอีกเยอะ ที่ผมนำมาเผยแพร่นี้แค่บางส่วน ข้อความในบทความส่วนใหญ่ ผมก็ได้นำมาจากเวปให้ความรู้ต่าง และนำมารวบรวมให้อยู่ด้วยกันเพื่อที่ต้องการศึกษาจะได้มีข้อูลที่กว้างขึ้นจากหลายแหล่งความรู้ ขอบคุณที่ติดตามครับ
วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557
เรื่องราวของกาแฟ (ภาคต่อ 2 ) การปลูก
มีเรื่องเหล่าเกี่ยวกับการกำเนิดของกาแฟ ที่ผมเคยได้ยินมาอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเองก็จำรายละเอียดปลีกย่อยได้ไม่มากมากนัก แต่ก็พอจำเค้าโครงของเรื่องได้บ้าง ผมจะเหล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า
ชาวอาราเบียจึงได้เริ่มรู้จักต้นกาแฟมากขึ้น และทำให้กาแฟแพร่หลายเพิ่มขึ้นจากประเทศอาราเบีย เข้าสู่ประเทศอิตาลี
เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส
ขั้นตอนการปลูกกาแฟ
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่
พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นที่ๆมีความสูง ประมาณ 800-12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ความลาดชันไม่เกิน 50% ทำการกำจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง เตรียมทำแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ส่วนมากเริ่มทำ ในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกกาแฟในฤดูฝนที่จะมาถึง(ประมาณมิถุนายน-กรกฎาคม)
ทำแนวระดับโดยใช้อุปการณ์ช่วยเช่นไม้รูปตัวเอเขาควายหรือระดับน้ำ ทำแนวปลูกกาแฟโดยมีระยะระหว่างต้น 2 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวขึ้นอยู่กับความลาดชัน โดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด 0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม
ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม
นำต้นกล้าที่มีขนาดเหมาะสมความสูงประมาณ 45-50 ซม. มีใบ 6-8 คู่ สมบูรณ์แข็งแรง ผ่านการฝึกให้ ทนทานต่อแสงแดดจัดและการขาดน้ำในเบื้องต้น แล้วนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่น ใช้ไม้ปักกันลมโยกคลอน
• ระยะปลูกระหว่างต้น-แถว 3-4 x 3 เมตร อายุต้นกล้า 6-14 เดือน และควรมีการทำร่มเงาชั่วคราวหรือปลูกพืชให้ร่มเงาเช่น สะตอ แค กระถิน เป็นพืชร่วม
การใช้ปุ๋ย
• ปีที่ 1 และ 2 ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ในอัตรา 100 และ 150 กรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง เมื่อต้นฤดูฝน และกลางฤดูฝน
• ตั้งแต่ปีที่ 3 ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ในอัตรา 600 กรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง เมื่ออายุ 3 เดือน และ 6 เดือน หลังจากดอกบาน สำหรับต้นฤดูฝนควรให้ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้ว อัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุย
• หลังเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่ง ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ตราบัวทิพย์ สูตร2 ในอัตรา 100 กรัมต่อต้นต่อปี
การให้น้ำ
• กาแฟปลูกใหม่ หากไม่มีฝนตกภายใน 1-2 สัปดาห์ ต้องให้น้ำ
หลังจากติดผล ถ้าฝนทิ้งช่วงนานเกิน 3 สัปดาห์ ควรให้น้ำเดือนละ 1-2 ครั้ง จนผลกาแฟมีอายุ 3 เดือน ใช้ระบบการให้น้ำแบบฝอยละเอียด
การตัดแต่งกิ่ง
• ระยะก่อนให้ผลผลิต หลังจากปลูกกาแฟประมาณ 3-4 เดือน ตัดส่วนยอดของลำต้นให้เหลือลำต้นกาแฟสูงจากผิวดิน 30-40 เซนติเมตร
หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน เลือกกิ่งแขนงที่แข็งแรงไว้เพียง 3-5 กิ่งต่อต้น
• ระยะหลังให้ผลผลิต
- ตัดแต่งกิ่งแบบทยอย ต้นกาแฟที่มี 3-5 กิ่ง ให้ตัดกิ่งทิ้งออกที่ละ 1 กิ่ง เลี้ยงกิ่งที่แตกใหม่ทดแทน
- ตัดแต่งแบบให้เหลือไว้กิ่งเดียว มี 2 วิธี
1. ตัดลำต้นกาแฟทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 40-50 ซม. ให้เหลือไว้เพียง กิ่งเดียว เพื่อเป็นกิ่งพี่เลี้ยง ต้นกาแฟจะแตกกิ่งใหม่ภายใน 2 เดือน เลือกกิ่งที่แข็งแรงไว้ 3-4 กิ่ง เมื่อเก็บเกี่ยวผลบนกิ่งพี่เลี้ยงแล้ว จึงตัดกิ่งพี่เลี้ยงทิ้งไป
2. ตัดลำต้นกาแฟทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 40-50 ซม. โดยไม่ต้องเหลือกิ่งพี่เลี้ยง ต้นกาแฟจะแตกลำต้นใหม่ภายใน 2 เดือน ให้เลือกลำต้นที่แข็งแรงเลี้ยงไว้ 3-5 กิ่ง
โรคที่สำคัญ
โรคแอนแทรคโนส
สาเหตุ:เชื้อรา
ลักษณะอาการ: อาการเกิดตามส่วนต่างๆ ของต้นกาแฟ
ใบ เป็นจุดสีน้ำตาลแล้วขยายใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อกลางแผลตาย มีสีน้ำตาลไหม้ จุดแผลแต่ละจุดขยายเชื่อมต่อกันเป็นแผลขนาดใหญ่ ทำให้ใบไหม้
ผลเชื้อเข้าทำลายทั้งในผลอ่อนและผลแก่ เริ่มแรกเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม ต่อมาแต่ละจุดขยายรวมกันเป็นแผลมีรูปร่างไม่แน่นอน เนื้อเยื่อยุบ ผลกาแฟหยุดการเจริญและเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลยังคงติดอยู่บนกิ่ง
กิ่ง บนกิ่งสีเขียวมีอาการไหม้ เนื้อเยื่อของกิ่งบริเวณที่เป็นแผลจะตาย ทำให้กิ่งเหี่ยวแห้ง ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และร่วง ตาดอกเหี่ยว
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง ต้นกาแฟอ่อนแอ
การป้องกันกำจัด :
• รักษาระดับร่มเงาให้เหมาะสมโดยพรางแสง 50 เปอร์เซ็นต์
• คลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชื้นในดิน
• ให้ปุ๋ยและให้น้ำตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อให้มีลำต้นและทรงพุ่มแข็งแรง
• ตัดแต่งกิ่งตามคำแนะนำข้างต้น
• หลังการเก็บเกี่ยว ต้องเก็บผลกาแฟที่เป็นโรคเผาทำลายนอกแปลง
• ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชตามคำแนะนำ
- สารแมนโคแซบ อัตราการใช้ 48 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน
แมลงศัตรูกาแฟ
มอดเจาะผลกาแฟ
ลักษณะและการทำลาย :เป็นแมลงปีกแข็งสีดำขนาด 1 มิลลิเมตร วางไข่ ขยายพันธุ์และกัดกินอยู่ในผลกาแฟที่มีขนาดตั้งแต่ 0.5 ซม.ขึ้นไป จนกระทั่งผลกาแฟเริ่มสุกและสุกเป็นสีแดง มอดจะติดผลกาแฟไปถึงลาดตาก และอาศัยอยู่ในผลกาแฟสุก จนแห้งดำที่ติดค้างบนกิ่ง และผลที่หล่นใต้ต้น
ช่วงเวลาระบาด: เดือนกันยายนถึงมกราคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผลกาแฟ เริ่มสุกถึงสุก
การป้องกันกำจัด:
• เก็บผลกาแฟสุกหรือแห้งติดค้างบนกิ่ง หรือร่วงหล่นใต้ทรงพุ่ม นำไปเผาทำลายนอกแปลง
• ตัดแต่งกิ่งตามคำแนะนำข้างต้น
• หลีกเลี่ยงการตากผลกาแฟสุกบนพื้นดินบริเวณสวนกาแฟ และบริเวณใกล้เคียง
• ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูกาแฟโรบัสต้า ตามคำแนะนำ
- คลอร์ไพริฟอส (40% อีซี) อัตราการใช้ 35 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 15 วัน ตั้งแต่ผลกาแฟมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5
มิลลิเมตร จนถึงระยะผลกาแฟสุกหรือพ่นเมื่อพบการระบาด หยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน
- ไดรอะไซฟอส(40% อีซี) อัตราการใช้ 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
พ่นทุก 15 วัน ตั้งแต่ผลกาแฟมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5
มิลลิเมตร จนถึงระยะผลกาแฟสุกหรือพ่นเมื่อพบการระบาด หยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 28 วัน
หนอนกาแฟสีแดง
ลักษณะและการทำลาย: ตัวหนอนสีแดงหรือน้ำตาลแดง มีลายวงแหวนสีเหลือง มีขนสีขาวบนท้อง ผีเสื้อเพศเมียจะวางไข่บนกิ่ง และลำต้นใช้เวลาประมาณ 10 วันไข่จะฟักเป็นตัวหนอน หนอนโตเต็มที ่เมื่ออายุ 2-5 เดือน ช่วงนี้จะกัดเจาะเปลือกเป็นรูกลม เจริญเติบโต เป็นดักแด้ และตัวเต็มวัยสีขาวนวล มีจุดประสีดำอยู่เต็ม บริเวณปีกคู่หน้า ต้นและกิ่งกาแฟที่ถูกหนอนเจาะจะมียอดแห้ง กิ่งจะหักตรงบริเวณที่หนอนเจาะ หรือหักโค่นเมื่อมีลมแรง
ช่วงระบาด: ตลอดฤดูปลูก
การป้องกันกำจัด:
• ตรวจต้นและกิ่งกาแฟอย่างสม่ำเสมอ หากพบรอยที่หนอนเจาะทำลาย ให้ตัดกิ่งนำไปเผาทำลาย
• รักษาบริเวณสวนให้สะอาด
• หลีกเลี่ยงการปลูกพืชอาศัยในสวนกาแฟ และบริเวณใกล้เคียง เช่น ชมพู่ ลิ้นจี่ ชบา เป็นต้น
• ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูกาแฟ ตามคำแนะนำ
- คลอร์ไพริฟอส(40% อีซี) อัตราการใช้ 35 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นบริเวณกิ่งและลำต้นทุก 15 วัน หรือเมื่อพบการทำลาย หยุดการใช้สาร ก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน
วัชพืชที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
ชนิดวัชพืช
วัชพืชฤดูเดียว เป็นวัชพืชที่ครบวงจรชีวิตภายในฤดูเดียว ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าตีนนก หญ้าตีนกา หญ้านกสีชมพู หญ้าปากควาย หญ้ากุศล และหญ้าขจรจบดอกเล็ก
- ประเภทใบกว้าง เช่น ผักบุ้งยาง แมงลักป่า กระดุมขน ผักโขม สาบแร้งสาบกา และสร้อยนกเขา
- ประเภทกก เช่น หนวดแมว กกขนาก กกทราย และหนวดปลาดุก
วัชพืชข้ามปี เป็นวัชพืชที่ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยต้น ราก เหง้า หัว และไหล ได้ดีกว่าการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าคา หญ้าชันกาด หญ้าขน หญ้าเห็บ หญ้าขจรจบดอกเหลือง และหญ้าแพรก
- ประเภทใบกว้างเช่น สาบเสือ ผักปราบ มังเคร่ ขี้ไก่ย่าน และครอบจักรวาล
- ประเภทกก เช่น แห้วหมู และกกตุ้มหู
การป้องกันกำจัด:
• ไถตากดิน 1 ครั้งทิ้งไว้ 7-10 วัน แล้วจึงพรวน 1 ครั้ง
• คราดเก็บเศษซาก ราก เหง้า หัว ไหล ของวัชพืชข้ามปี ออกจากแปลงก่อนจัดระยะ และทำหลุมปลูก
• คลุมโคนต้นด้วยเศษพืช ระวังอย่าให้มีความชื้นสูงในฤดูฝน
• ใช้เครื่องตัดวัชพืช ระหว่างแถวระหว่างต้นให้สั้น ก่อนวัชพืชออกดอก
กำจัดวัชพืชใต้ทรงพุ่มกาแฟ โดยใช้จอบดาย ระวังการกระทบกระเทือน รากกาแฟ
• พ่นสารกำจัดวัชพืชตามคำแนะนำ
- วัชพืชฤดูเดียว ใช้พาราควอท(27.6% เอสแอล) อัตรา 75-100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อวัชพืชมี 5-7 ใบ หรือก่อนวัชพืชออกดอก ระวังละอองสารสัมผัสใบและต้นกาแฟ ไม่พ่นเกินปีละ 2 ครั้ง
- วัชพืชข้ามปี ใช้กลูโฟซิเนต แอมโมเนียม (15% เอสแอล)อัตรา 400-500 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ไกลโฟเสท(48% เอสแอล)อัตรา 125-150 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
การเก็บเกี่ยว
• เก็บเกี่ยวผลกาแฟ อายุ 11 เดือนหลังออกดอก โดยทะยอยเก็บทุก ๆ 3 สัปดาห์ และเก็บผลกาแฟที่สุกพอดี ซึ่งจะมีผลสีส้ม หรือส้มแดง แล้วนำไปคัดเลือกทันที เพื่อตาก และจัดเก็บในห้องเก็บต่อไป
คนเลี้ยงแพะคนหนึ่งเป็นชาวอาราเบีย ชื่อ คาลดี (Kaldi)
นำแพะออกไปเลี้ยงตามป่าตามทุ่งต่างๆตามปกติ
แพะก็หากินหญ้ากินพืชไปเรื่อยตามนิสัยของมัน แต่มีอยู่ตัวหนึ่งได้กินผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งเข้าไปแล้วเกิดอาการคึกคะนองผิดปกติ คนเลี้ยงแพะจึงได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นไปเล่าให้กับผู้นำศาสนาอิสลาม ท่านหนึ่งฟัง เมื่อท่านผู้นำศาสนาได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวแล้ว จึงได้นำผลของต้นไม้นั้นมากะเทาะเปลือกเอาเมล็ดไปคั่วแล้วต้มในน้ำร้อนแล้วดื่มลงไป ก็รู้สึกว่ามีความกระปรี้กระเปร่า
จึงนำไปเล่าต่อให้คนอื่นฟัง

ชาวอาระเบียเรียกพืชนี้ว่า“คะวาฮ์”(Kawah)หรือ “คะเวฮ์” (Kaweh)
ซึ่งแปลว่าพลัง (strength) หรือความกระปรี้กระเปร่า (vigor)
ชาวตุรกีเรียกว่า “คะเวฮ์” (Kaveh)
ต่อมาการเรียกชื่อกาแฟจึงเปลี่ยนแปลงไปตามแหล่งต่างๆของโลก เช่น คัฟฟี
(Koffee) ในอังกฤษเรียกว่า “คอฟฟี” (coffee)
อันเป็นชื่อที่รู้จักและใช้ในปัจจุบันนี้ เมื่อมาถึงประเทศไทยคนไทยเรียกว่า
โกปี๊ ข้าวแฝ่ และกาแฟในที่สุด
เรื่องราวของกาแฟนั้นมีมานานมากแล้ว ในปัจจุบัธุรกิจกาแฟมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก มีคนดื่มทั่วโลกหลายล้านแก้วต่อวัน กาแฟยังเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันมากเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมันและก๊าชปิโตรเลียม สินค้าอะไรก็ตามที่ใช้แล้วหมดไปได้อย่างรวดเร็วนั้น ย่อมเป็นสินค้าที่มีคนต้องการมาก กาแฟอาจจะเป็นสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ยังมีความต้องการมากถ้าลองถามคน 10 คนว่ามีคนดื่มกาแฟกีคน อย่างน้อยก็ 5 คน ถ้าเป็นในประเทศไทยก็น้อยหน่อย แต่ประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกานั้น ผู้คนดื่มกาแฟ เฉลี่ย 700 แก้ว/คน/ปี หรือคนละ 2 แก้วต่อวัน ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ
ต่อไปมาดูกันว่า อุตสาหกรรมกาแฟเขาทำกันอย่างไร ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์กาแฟในปัจจุบันนั้นมีให้เราได้เลือกบริโภคมากมาย หลายชนิด เช่น กาแฟชงพร้อมดื่ม กาแฟกระป๋อง กาแฟสด กาแฟคั่วบด ลูกอมกาแฟ ขนมรสกาแฟ ไอศกรีมกาแฟ และอีกมากมายหลากชนิด วิธีทำนั้นก็ต่างกันออกไป มาดูวิธีการที่จะได้กาแฟออกมากันว่าเขามีกรรมวิธี อย่างไร
ขั้นตอนการปลูกกาแฟ
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่
พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นที่ๆมีความสูง ประมาณ 800-12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ความลาดชันไม่เกิน 50% ทำการกำจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง เตรียมทำแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ส่วนมากเริ่มทำ ในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกกาแฟในฤดูฝนที่จะมาถึง(ประมาณมิถุนายน-กรกฎาคม)
ทำแนวระดับโดยใช้อุปการณ์ช่วยเช่นไม้รูปตัวเอเขาควายหรือระดับน้ำ ทำแนวปลูกกาแฟโดยมีระยะระหว่างต้น 2 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวขึ้นอยู่กับความลาดชัน โดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด 0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม
ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
• ดินมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง
• มีความเป็นกรดเป็นด่าง ระหว่าง 5.5-6.5
• อุณหภูมิที่เหมาะสม 25-32 องศาเซลเซียส
• ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตร/ปี
• มีช่วงแล้ง นาน 8-10 สัปดาห์ เพื่อชักนำให้เกิดตาดอกการปลูก
ขั้นตอนที่ 2 การปลูก
• ดินมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง
• มีความเป็นกรดเป็นด่าง ระหว่าง 5.5-6.5
• อุณหภูมิที่เหมาะสม 25-32 องศาเซลเซียส
• ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตร/ปี
• มีช่วงแล้ง นาน 8-10 สัปดาห์ เพื่อชักนำให้เกิดตาดอกการปลูก
ขั้นตอนที่ 2 การปลูก
นำต้นกล้าที่มีขนาดเหมาะสมความสูงประมาณ 45-50 ซม. มีใบ 6-8 คู่ สมบูรณ์แข็งแรง ผ่านการฝึกให้ ทนทานต่อแสงแดดจัดและการขาดน้ำในเบื้องต้น แล้วนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่น ใช้ไม้ปักกันลมโยกคลอน
• ระยะปลูกระหว่างต้น-แถว 3-4 x 3 เมตร อายุต้นกล้า 6-14 เดือน และควรมีการทำร่มเงาชั่วคราวหรือปลูกพืชให้ร่มเงาเช่น สะตอ แค กระถิน เป็นพืชร่วม
การใช้ปุ๋ย
• ปีที่ 1 และ 2 ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ในอัตรา 100 และ 150 กรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง เมื่อต้นฤดูฝน และกลางฤดูฝน
• ตั้งแต่ปีที่ 3 ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ในอัตรา 600 กรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง เมื่ออายุ 3 เดือน และ 6 เดือน หลังจากดอกบาน สำหรับต้นฤดูฝนควรให้ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้ว อัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุย
• หลังเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่ง ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ตราบัวทิพย์ สูตร2 ในอัตรา 100 กรัมต่อต้นต่อปี
การให้น้ำ
• กาแฟปลูกใหม่ หากไม่มีฝนตกภายใน 1-2 สัปดาห์ ต้องให้น้ำ
หลังจากติดผล ถ้าฝนทิ้งช่วงนานเกิน 3 สัปดาห์ ควรให้น้ำเดือนละ 1-2 ครั้ง จนผลกาแฟมีอายุ 3 เดือน ใช้ระบบการให้น้ำแบบฝอยละเอียด
การตัดแต่งกิ่ง
• ระยะก่อนให้ผลผลิต หลังจากปลูกกาแฟประมาณ 3-4 เดือน ตัดส่วนยอดของลำต้นให้เหลือลำต้นกาแฟสูงจากผิวดิน 30-40 เซนติเมตร
หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน เลือกกิ่งแขนงที่แข็งแรงไว้เพียง 3-5 กิ่งต่อต้น
• ระยะหลังให้ผลผลิต
- ตัดแต่งกิ่งแบบทยอย ต้นกาแฟที่มี 3-5 กิ่ง ให้ตัดกิ่งทิ้งออกที่ละ 1 กิ่ง เลี้ยงกิ่งที่แตกใหม่ทดแทน
- ตัดแต่งแบบให้เหลือไว้กิ่งเดียว มี 2 วิธี
1. ตัดลำต้นกาแฟทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 40-50 ซม. ให้เหลือไว้เพียง กิ่งเดียว เพื่อเป็นกิ่งพี่เลี้ยง ต้นกาแฟจะแตกกิ่งใหม่ภายใน 2 เดือน เลือกกิ่งที่แข็งแรงไว้ 3-4 กิ่ง เมื่อเก็บเกี่ยวผลบนกิ่งพี่เลี้ยงแล้ว จึงตัดกิ่งพี่เลี้ยงทิ้งไป
2. ตัดลำต้นกาแฟทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 40-50 ซม. โดยไม่ต้องเหลือกิ่งพี่เลี้ยง ต้นกาแฟจะแตกลำต้นใหม่ภายใน 2 เดือน ให้เลือกลำต้นที่แข็งแรงเลี้ยงไว้ 3-5 กิ่ง
โรคที่สำคัญ
โรคแอนแทรคโนส
สาเหตุ:เชื้อรา
ลักษณะอาการ: อาการเกิดตามส่วนต่างๆ ของต้นกาแฟ
ใบ เป็นจุดสีน้ำตาลแล้วขยายใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อกลางแผลตาย มีสีน้ำตาลไหม้ จุดแผลแต่ละจุดขยายเชื่อมต่อกันเป็นแผลขนาดใหญ่ ทำให้ใบไหม้
ผลเชื้อเข้าทำลายทั้งในผลอ่อนและผลแก่ เริ่มแรกเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม ต่อมาแต่ละจุดขยายรวมกันเป็นแผลมีรูปร่างไม่แน่นอน เนื้อเยื่อยุบ ผลกาแฟหยุดการเจริญและเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลยังคงติดอยู่บนกิ่ง
กิ่ง บนกิ่งสีเขียวมีอาการไหม้ เนื้อเยื่อของกิ่งบริเวณที่เป็นแผลจะตาย ทำให้กิ่งเหี่ยวแห้ง ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และร่วง ตาดอกเหี่ยว
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง ต้นกาแฟอ่อนแอ
การป้องกันกำจัด :
• รักษาระดับร่มเงาให้เหมาะสมโดยพรางแสง 50 เปอร์เซ็นต์
• คลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชื้นในดิน
• ให้ปุ๋ยและให้น้ำตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อให้มีลำต้นและทรงพุ่มแข็งแรง
• ตัดแต่งกิ่งตามคำแนะนำข้างต้น
• หลังการเก็บเกี่ยว ต้องเก็บผลกาแฟที่เป็นโรคเผาทำลายนอกแปลง
• ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชตามคำแนะนำ
- สารแมนโคแซบ อัตราการใช้ 48 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน
แมลงศัตรูกาแฟ
มอดเจาะผลกาแฟ
ลักษณะและการทำลาย :เป็นแมลงปีกแข็งสีดำขนาด 1 มิลลิเมตร วางไข่ ขยายพันธุ์และกัดกินอยู่ในผลกาแฟที่มีขนาดตั้งแต่ 0.5 ซม.ขึ้นไป จนกระทั่งผลกาแฟเริ่มสุกและสุกเป็นสีแดง มอดจะติดผลกาแฟไปถึงลาดตาก และอาศัยอยู่ในผลกาแฟสุก จนแห้งดำที่ติดค้างบนกิ่ง และผลที่หล่นใต้ต้น
ช่วงเวลาระบาด: เดือนกันยายนถึงมกราคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผลกาแฟ เริ่มสุกถึงสุก
การป้องกันกำจัด:
• เก็บผลกาแฟสุกหรือแห้งติดค้างบนกิ่ง หรือร่วงหล่นใต้ทรงพุ่ม นำไปเผาทำลายนอกแปลง
• ตัดแต่งกิ่งตามคำแนะนำข้างต้น
• หลีกเลี่ยงการตากผลกาแฟสุกบนพื้นดินบริเวณสวนกาแฟ และบริเวณใกล้เคียง
• ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูกาแฟโรบัสต้า ตามคำแนะนำ
- คลอร์ไพริฟอส (40% อีซี) อัตราการใช้ 35 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 15 วัน ตั้งแต่ผลกาแฟมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5
มิลลิเมตร จนถึงระยะผลกาแฟสุกหรือพ่นเมื่อพบการระบาด หยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน
- ไดรอะไซฟอส(40% อีซี) อัตราการใช้ 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
พ่นทุก 15 วัน ตั้งแต่ผลกาแฟมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5
มิลลิเมตร จนถึงระยะผลกาแฟสุกหรือพ่นเมื่อพบการระบาด หยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 28 วัน
หนอนกาแฟสีแดง
ลักษณะและการทำลาย: ตัวหนอนสีแดงหรือน้ำตาลแดง มีลายวงแหวนสีเหลือง มีขนสีขาวบนท้อง ผีเสื้อเพศเมียจะวางไข่บนกิ่ง และลำต้นใช้เวลาประมาณ 10 วันไข่จะฟักเป็นตัวหนอน หนอนโตเต็มที ่เมื่ออายุ 2-5 เดือน ช่วงนี้จะกัดเจาะเปลือกเป็นรูกลม เจริญเติบโต เป็นดักแด้ และตัวเต็มวัยสีขาวนวล มีจุดประสีดำอยู่เต็ม บริเวณปีกคู่หน้า ต้นและกิ่งกาแฟที่ถูกหนอนเจาะจะมียอดแห้ง กิ่งจะหักตรงบริเวณที่หนอนเจาะ หรือหักโค่นเมื่อมีลมแรง
ช่วงระบาด: ตลอดฤดูปลูก
การป้องกันกำจัด:
• ตรวจต้นและกิ่งกาแฟอย่างสม่ำเสมอ หากพบรอยที่หนอนเจาะทำลาย ให้ตัดกิ่งนำไปเผาทำลาย
• รักษาบริเวณสวนให้สะอาด
• หลีกเลี่ยงการปลูกพืชอาศัยในสวนกาแฟ และบริเวณใกล้เคียง เช่น ชมพู่ ลิ้นจี่ ชบา เป็นต้น
• ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูกาแฟ ตามคำแนะนำ
- คลอร์ไพริฟอส(40% อีซี) อัตราการใช้ 35 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นบริเวณกิ่งและลำต้นทุก 15 วัน หรือเมื่อพบการทำลาย หยุดการใช้สาร ก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน
วัชพืชที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
ชนิดวัชพืช
วัชพืชฤดูเดียว เป็นวัชพืชที่ครบวงจรชีวิตภายในฤดูเดียว ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าตีนนก หญ้าตีนกา หญ้านกสีชมพู หญ้าปากควาย หญ้ากุศล และหญ้าขจรจบดอกเล็ก
- ประเภทใบกว้าง เช่น ผักบุ้งยาง แมงลักป่า กระดุมขน ผักโขม สาบแร้งสาบกา และสร้อยนกเขา
- ประเภทกก เช่น หนวดแมว กกขนาก กกทราย และหนวดปลาดุก
วัชพืชข้ามปี เป็นวัชพืชที่ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยต้น ราก เหง้า หัว และไหล ได้ดีกว่าการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าคา หญ้าชันกาด หญ้าขน หญ้าเห็บ หญ้าขจรจบดอกเหลือง และหญ้าแพรก
- ประเภทใบกว้างเช่น สาบเสือ ผักปราบ มังเคร่ ขี้ไก่ย่าน และครอบจักรวาล
- ประเภทกก เช่น แห้วหมู และกกตุ้มหู
การป้องกันกำจัด:
• ไถตากดิน 1 ครั้งทิ้งไว้ 7-10 วัน แล้วจึงพรวน 1 ครั้ง
• คราดเก็บเศษซาก ราก เหง้า หัว ไหล ของวัชพืชข้ามปี ออกจากแปลงก่อนจัดระยะ และทำหลุมปลูก
• คลุมโคนต้นด้วยเศษพืช ระวังอย่าให้มีความชื้นสูงในฤดูฝน
• ใช้เครื่องตัดวัชพืช ระหว่างแถวระหว่างต้นให้สั้น ก่อนวัชพืชออกดอก
กำจัดวัชพืชใต้ทรงพุ่มกาแฟ โดยใช้จอบดาย ระวังการกระทบกระเทือน รากกาแฟ
• พ่นสารกำจัดวัชพืชตามคำแนะนำ
- วัชพืชฤดูเดียว ใช้พาราควอท(27.6% เอสแอล) อัตรา 75-100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อวัชพืชมี 5-7 ใบ หรือก่อนวัชพืชออกดอก ระวังละอองสารสัมผัสใบและต้นกาแฟ ไม่พ่นเกินปีละ 2 ครั้ง
- วัชพืชข้ามปี ใช้กลูโฟซิเนต แอมโมเนียม (15% เอสแอล)อัตรา 400-500 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ไกลโฟเสท(48% เอสแอล)อัตรา 125-150 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
การเก็บเกี่ยว
• เก็บเกี่ยวผลกาแฟ อายุ 11 เดือนหลังออกดอก โดยทะยอยเก็บทุก ๆ 3 สัปดาห์ และเก็บผลกาแฟที่สุกพอดี ซึ่งจะมีผลสีส้ม หรือส้มแดง แล้วนำไปคัดเลือกทันที เพื่อตาก และจัดเก็บในห้องเก็บต่อไป
จะเห็นได้ว่ากาแฟมีขั้นตอนการปลูกที่ยุ่งยากพอสมควร ยิ่งถ้าเป็นพันธุ์ อราบิก้า ด้วยแล้วยิ่่งอยากไปใหญ่ ถ้าใครสนใจที่จะทำไร่กาแฟก็ลองศึกษาให้ละเอียดดูละกันนะครับ บทความนี้คงจะมีเพียงเท่านี้ ในบทความหน้าเราจะมาว่ากันต่อในเรืองการดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยวผลผลิตกันครับ ขอบคุณที่ติดตาม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)