วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เรี่องของกาแฟ (ภาคจบ) การชง

       เขียนไปเขียนมา เรื่องของกาแฟก็ยังไม่จบซักที นี่ก็เข้าบทความที่ 5 เรียกได้ว่าเป็นมหากาบย์กาแฟไปเลย เพราะว่าแต่ละขั้นตอนของการผลิตกาแฟสดนั้นมีความละเอียดละเมียดละมัย มาก แรกที่เริ่มเขียนก็ไม่นึกว่าจะมีเรื่องราวมากมายขนาดนี้ แต่พอได้เริ่มศึกษาค้นหาพบว่ายิ่งค้นหาก็ยิ่งมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกาแฟเยอจริงๆ ก็เลยต้องนำเสนอกับผู้สนใจไปทีละขั้นตอน ข้้นต่อไปที่ผมจะนำเสนอของเส้นทางกาแฟนั้น ถือว่ามีสำคัญมากๆ หรืออาจจะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นตอนสุดท้าย ของกระบวนการผลิต ก่อนถึงผู้ดื่มหรือลูกค้า จะอร่อยไม่อร่อย จะรสชาติดีหรือไม่ดี ขั้นตอนนี้จะเป็นตัวตัดสินว่ากระบวนการทั้งหมดที่ทำมาจะไม่มีความหมายหรือไม่ ก็อยุ่ที่ขั้นตอน คงอยากรู้แล้วนะครับว่าคืออะไร มันก็คือขั้นตอนวิธีการชงกาแฟนั้นเองครับ กาแฟมีหลากหลายรสชาติที่เราได้ดื่มทุกวันนี้เกิดจากการชง ผู้ทีมีอาชีพชงกาแฟ เขาเรียกว่า “ บาริสต้า “(Barista) แต่การจะเป็นได้นั้นต้องมีดีมากกว่าคนชงกาแฟทั่วไป  บาริสต้า ในภาษาอิตาเลียน หมายถึง บาร์เทนเดอร์ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ทำงานหลังเคาน์เตอร์ เสิร์ฟเครื่องดื่มร้อนและเย็นทั้งชนิดที่เป็นแอลกอฮอล์หรือไม่เข้าแอลกอฮอล์ ไม่ได้หมายถึงคนชงกาแฟโดยเฉพาะ



แต่ "บาริสต้า" มีความหมายแคบลง เมื่อชาวอังกฤษขอยืมคำนี้ไปใช้และหมายถึงคนชงกาแฟ และยังมีคำว่า "บาริสโต้" (Baristo) ในภาษาอังกฤษอีกคำที่หมายถึง คนชงกาแฟที่เป็นผู้ชาย  ในวัฒนธรรมอิตาลีซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟแห่งแรกในโลก แนะนำว่า ข้อสำคัญสำหรับบาริสต้า ต้องมี 4 เอ็ม (ในภาษาอิตาเลียน) ได้แก่

Machina คือ เครื่องทำกาแฟ เอสเปรสโซแมชชีน

Miscela คือ การเบลนด์หรือผสมกาแฟพันธุ์ต่างๆ จากแหล่งปลูกต่างๆ กัน

Macinadosatore คือ เครื่องบดกาแฟ

Mano คือ คนทำกาแฟ หรือบาริสต้า 

คุณสมบัติที่จำเป็นของการเป็นบาริสต้า คือ

1.รอบรู้เรื่องกาแฟ ตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก สายพันธุ์กาแฟ รสชาติ กลิ่น สี น้ำมันของกาแฟชนิดต่างๆ จนถึงการเลือกเมล็ดที่คั่วและบดให้พอดีกับความละเอียดของเครื่องชง จากนั้น ต้องรู้วิธีการอัดกาแฟเข้าก้านชงกาแฟ หรือ Tamper ที่อัดได้แน่นพอเหมาะ ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป การกะระยะเวลาน้ำกาแฟ อุณหภูมิการชง การทำฟองนม รวมถึงเชี่ยวชาญด้านเครื่องมือต่างๆ ในการชงกาแฟ

บางร้าน บาริสต้าจะคิดค้นเมนูเครื่องดื่มที่เป็นแบบฉบับของร้านเอง (ซิกเนเจอร์ ดริงก์)

2. รักงานด้านบริการและมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ที่อิตาลี บาริสต้าต้องเป็นผู้ควบคุมบาร์ทั้งหมด ทั้งต้อนรับลูกค้า พูดคุยกับลูกค้า ดูแลหน้าร้านความสะอาด

บาริสต้าที่ดี จะจำชื่อลูกค้าได้ เครื่องดื่มที่ลูกค้าชอบ บางคนจำไปถึงชื่อลูก และรถที่ลูกค้าขับมา

3. มีทักษะที่คล่องแคล่วในการทำงาน การชงกาแฟอย่างรวดเร็วบ่งบอกถึงความชำนาญในงาน ลูกค้าจะได้ประทับใจและเป็นการฝึกฝีมืออยู่เรื่อยๆ 

4. มีไหวพริบปฏิภาณในการสื่อสารกับลูกค้า การรับคำสั่งจากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าการแนะนำเมนูให้กับลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้าตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเครื่องดื่มชนิดไหนดี อีกทั้ง ต้องรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากลูกค้าได้เครื่องดื่มที่ไม่ตรงตามที่สั่งหรือไม่พอใจรสชาติ
ถ้าใครสนใจที่จะเป็นนักชงกาแฟมืออาชีพก็ไปเสาะหาเรียนรู้เข้าครอสเรียนเอานะครับ เพราะว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจและตลาดแรงงานกำลังต้องการในตอนนี้ครับ

   มาเข้าเรื่องของรสชาติกาแฟกันบ้างครับ รสชาติกาแฟเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ดื่มแต่ละคนก็จะชื่นขอบรสชาติกาแฟต่างกันไป มาดูกันว่ามีรสชาติอะไรกันบ้าง

กาแฟเอสเพรสโซ่ เป็นเหมือนกับสารตั้งต้นของกาแฟรสต่างๆ

 


คือการชงกาแฟผ่านเครื่องชงเอสเพรสโซ่จะได้น้ำกาแฟเข้มข้น 1 - 1.5 ออนซ์ ซึ่งเอสเพรสโซ่ที่ดีจะต้องเข้มข้น และมีอัตราการไหลจากเครื่องชงอยู่ในระยะเวลา 18- 23 วินาที ต่อ 1 ช็อต เมื่อได้กาแฟเอสเพรสโซ่แล้วก็นำ ไปเป็นส่วนผสมของกาแฟดังนี้

1. กาแฟอเมริกันโน่

ใช้กาแฟวีพีพี สูตรเอสเพรสโซ่ ซองสีเขียว จำนวน 10 กรัม ชงด้วยเครื่องชงกาแฟ เอสเพรสโซ่ ได้น้ำกาแฟ 1.5 ออนซ์ เติมน้ำร้อนเพิ่มประมาณ 4-5 ออนซ์ จะได้กาแฟร้อนอเมริกันโน่ หอมกรุ่นรสนุ่ม

2. กาแฟลาเต้ร้อน

ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่า ซองสีส้ม จำนวน 10 กรัมชงด้วยเครืองชงเอสเพรสโซ่ ได้น้ำกาแฟปริมาณ 1.5 ออนซ์ หลังจากนั้น นำนมจืด มาทำการสตีมฟองนมให้มีอุณหภูมิประมาณ 60 เซสเซียส นมจะหอมกรุ่นในฟองนุ่ม รินน้ำนมลงแก้วกาแฟร้อนทรงสูง ที่มีความจุ 8-10 ออนซ์ ประมาณ 3 ส่วน 4 ของแก้ว ทิ้งสัก 30-60 วินาที ให้นมร้อนและครีมฟองนมแยกออกจากกัน แล้วเทกาแฟร้อนเอสเพรสโซ่ลงไป กาแฟและนมจะแยกชั้นออกจากกันสวยงาม แต่งด้านบนด้วยฟองนมอีกเล็กน้อยไม่ให้เห็น รอยจากการเทกาแฟ
                              

3. กาแฟคาปูชิโน่

ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่าซองสีส้ม จำนวน 10 กรัมชงด้วยเครืองชงเอสเพรสโซ่เหมือนกับการชงลาเต้และทำการสตีมนมร้อนเช่นเดียวกันแต่ให้ฟองนม ละเอียดและเนียนกว่า หลังจากนั้นเทนมร้อนลงในแก้วกาแฟร้อนที่ใส่กาแฟเอสเพรสโซ่อยู่โดยค่อยๆ รินให้อยู่ตรงกลางถ้วย และมีขอบสี น้ำตาลจากกาแฟอยู่รอบนอก จนได้ครึ่งแก้วแล้วเริ่มตักฟองนมลงแก้วกาแฟอย่าให้ขอบของกาแฟแตก ใส่ฟองนมจนฟองนมนูนขึ้นมา สวยแล้วโรยหน้าด้วย ผงชินเนมอนหรือโก้โก้
                               













4. กาแฟมอคค่า

ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่าซองสีส้ม จำนวน 10 กรัม ชงด้วยเครื่องเอสเพรสโซ่ หลังจากนั้นใส่ไซรับโกโก้ ลงไปรวมกับกาแฟร้อน ประมาณ ครึ่งออนซ์ หรือ 2 ชา คนให้เข้ากัน แล้วเทนมร้อน ลงไปจนได้ปริมาณ 3 ส่วน 4 แก้ว แล้วเติมฟองนม

                              

สำหรับเรื่องของกาแฟบทความนี้คงต้องมาถึงตอนอวสานแล้วนะครับเพราะกระบวนทั้งหมดของกาแฟสด สิ้นสุดตรงที่สุดของปลายสายการผลิตแล้วคือผู้บริโภค ส่วนกาแปรรูฟกาแฟไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ผมคงไม่พูดถึง ก็หวังว่าผู้ติดตามคงเต็มอิ่มกับเรื่องของกาแฟแล้ว สุดท้ายก็ขอให้นักดื่มกาแฟทั้งหลายเพลิดเพลินกับกาแฟถ้วยโปรดของคุณนะครับ......
                                                                                        ขอบคุณสำหรับการติดตาม

มีมิวสิควีดีโอมาฝากเหมือเดิม




   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น