วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การเก็บเกี่ยว

1.การเก็บเกี่ยวผลกาแฟ
      ต้นกาแฟจะโตเต็มที่พร้อมผลิดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 4-5 ปี และจะให้ผลเรื่อยไปจนอายุ 30 ปี ส่วนระยะเวลาที่เก็บเกี่ยวผลกาแฟนั้นจะ แตกต่างกันไปตามสถานที่ปลูก  ประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรสามารถเก็บเกี่ยวได้ระหว่าง เดือน กันยายนถึงเดือนมีนาคม ประเทศที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรเก็บเกี่ยวช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และอาจยาวไปถึงเดือนสิงหาคม ส่วนประเทศที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตรพอดีสามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี   แต่ถ้าประเทศไหนหน้าร้อนหน้าฝนไม่ค่อยต่างกันมากนักจะเก็บเกี่ยวได้ถึงปีละ 2 ครั้ง
ผลกาแฟที่เริ่มแก่พร้อมที่จะเก็บได้จะเปลี่ยนสีจากสีเขียว เป็นสีแดงสด และเมื่อแดงตลอดทั้งผล ก็หมายความว่าเริ่มสุกเต็มที่ จะต้องเก็บภายใน 3-4 วัน ก่อนที่สีแดงเข้มสวยนั้นจะเริ่มฉ่ำ กลายเป็นสีแดงแก่ก่ำ ดุจโกเมน
ผลกาแฟอราบิก้า
ผลกาแฟอราบิก้า
การเก็บผลผลิตที่แก่เต็มที่ เราจะบรรจงเก็บทีละผล เฉพาะเมล็ดกาแฟสีแดงสดที่สุกเต็มที่เท่านั้น ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ เราจะไม่เก็บผลกาแฟที่ยังสุกไม่ทั่วทั้งผล ฉ่ำ หรืองอม จนแก่เกินไปเป็นอันขาด และจะไม่มีการรูดกิ่งเพื่อเก็บผลกาแฟเพื่อประหยัดแรงงานอย่างเด็ดขาด กาแฟที่เก็บมาได้เราจะนำมาสีเปียกทันทีภายในเวลา 16.00น. ของวันที่เก็บเกี่ยวนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการ Fermentation หรือการบูดเปรี้ยว(อันจะทำให้กาแฟมีกลิ่นหืน)

วิธีการเก็บกาแฟสามารถเก็บได้ 2 วิธี คือ

          1. แบบเด็ดทั้งกิ่งที่มีลูกกาแฟอยู่ กับ
        2. แบบเลือกเก็บ
          แต่เนื่องจากลูกกาแฟจะสุกไม่พร้อมกัน ดังนั้นการเก็บเกี่ยวกาแฟจึงนิยมใช้วิธีหลังมากกว่า ซึ่งทำให้คนเก็บต้องวนเวียนอยู่ที่ต้นเดิมประมาณ 8-10 วัน แต่ละครั้งเก็บได้เฉพาะลูกที่สุกได้ที่เท่านั้น ทำให้วิธีดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉลี่ย 1 วันจะสามารถเก็บผลผลิตกาแฟได้100-200 ปอนด์ ซึ่งคิดเป็นน้ำหนักเมล็ดที่ใช้จริงเพียง 20% หรือ 20-40 ปอนด์เท่านั้น ผู้เก็บต้องใช้เวลา 6-10 วันในการเก็บผลกาแฟให้ได้ 1 กระสอบ

การแยกกาแฟ
       หลังจากเก็บเกี่ยวผลกาแฟแล้ว ต้องนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ ให้พร้อมเป็นกาแฟที่เราดื่มกัน    โดยต้องแยกเมล็ดกาแฟออกจากเปลือกและเนื้อของผลก่อน ซึ่งมี 2 วิธีด้วยกันคือ
1. แบบแห้ง ( dry method )
        เป็นวิธีธรรมชาติและทำกันมานาน โดยตากผลกาแฟจนแห้งเหี่ยว หรือเอาเข้าเครื่องทำให้แห้งแล้วค่อยแกะเอาเมล็ดออก เมล็ดที่ได้จะมีเยื่อบางๆ เรียกว่า silver skin หุ้มอยู่
2. แบบเปียก ( wet method )
         ที่ใช้น้ำล้างจนเนื้อกับเปลือกหลุดออกจากกัน กาแฟที่ได้จากวิธีนี้เรียกว่า  washed coffees
การคัดกาแฟ
       หลังจากการแยกแล้วก็มาถึงการคัดขนาดของเมล็ดกาแฟ  ขนาดเมล็ดกาแฟแบ่งขนาดตามหมายเลข 10-20 ตามลำดับเล็กถึงใหญ่ โดยการร่อนเมล็ดผ่านตะแกรงขนาดต่างๆ ซึ่งเกรดที่ได้จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยทั่วไปมีอยู่ 6 เกรด ที่สูงที่สุดคือ SHB-Strictly Hard Bean หรือ Strictly High Grown ที่ปลูกในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลอย่างน้อย 4,000 ฟุต
     สำหรับประเทศเคนยาแบ่งเกรดเป็น A, B และ C ส่วน AA หมายถึงเมล็ด Supremo, Excelso, Extra และเกรดที่ต่ำที่สุดคือ Pasilla เมื่อเสร็จแล้วก็พร้อมส่ง เมล็ดกาแฟ พร้อมคั่วที่เรียกว่า green beans นี้ไปยังโกดังหรือไปให้ผู้คั่วกาแฟได้ทันที 
การแปรรูปและคัดคุณภาพ
ผลกาแฟ(Coffee cherries)ที่เก็บมาใหม่ๆ จะนำมาสู่กระบวนการแปรรูปวัน
ต่อวัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการบูดเปรี้ยวทุกวันที่เก็บผลกาแฟเวลา16.30น.เราจะเริ่มสีกาแฟ (แบบสีเปียกหรือที่เรียกว่า wet processing) ก่อนที่จะนำกาแฟที่ได้จากการสีไปล้างเมือก ซึ่งกระบวนการล้างเมือกจะดำเนินไปอีก 6 ชั่วโมง และนำไปหมักน้ำอีกโดยใช้เวลาระหว่าง14-16 ชั่วโมงและคัดเมล็ดลอยน้ำและถึงจมกึ่งลอยออกทิ้งจนหมดสิ้นและเข้าสู่กระบวนการคัดเมล็ดโดยใช้ความถ่วงจำเพาะ หรือ Density Sorting อย่างเคร่งครัดกะลากาแฟ
เมื่อผ่านกระบวนการสีผลกาแฟเพื่อนำเปลือกผลกาแฟออกด้วยกรรมวิธีสีเปียกและผ่านการล้างเมือกและหมักน้ำตามขั้นตอนของเราแล้วผลที่ได้คือกาแฟกะลาหรือกาแฟที่ยังมีเปลือกชั้นในอยู่ ขั้นตอนต่อไปคือขั้นตอนการตากกาแฟกะลาคือการทำให้กาแฟกะลามีความชื้นลดลง โดยการจากกาแฟกะลาให้ได้คุณภาพจะต้องตากกับแดดแรงๆให้ได้อย่างน้อย15แดดและจะต้องเก็บในเวลากลางคืนทุกครั้งเพือ่หลักเลี่ยงความชื้นจากน้ำค้างหรือฝนหลงฤดูมิฉะนั้นจะกลายเป็นกาแฟคุณภาพต่ำทันที

3.การบ่มสารกาแฟกะลากาแฟ
กะลากาแฟที่ตากแห้งแล้วจะนำมาใส่กระสอบบ่มในห้องบ่มกาแฟเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 
7-8 เดือน ก่อนจะนำมาสีกะลาอีกครั้งหนึ่งเมื่อบ่มจนความชื้นของกะลากาแฟได้ที่แล้ว เราจะนำกะลาออกโดยใช้เครื่องสีกาแฟที่คุณภาพดีเยี่ยม ที่ผลิตได้ในประเทศไทยเพื่อคุณภาพสารกาแฟ(เครื่องสีกาแฟชนิดนี้จะทำให้การคัดขนาดเมล็ดในเบื้องต้นและทำการคัดเมล็ดลีบเมล็ดแตก และเมล็ดไม่ได้น้ำหนักออกส่วนหนึ่งแล้ว)จากนั้นจะนำเข้าเครื่องคัดเกรดกาแฟอีกครั้ง เมื่อคัดเมล็ดกาแฟออกเป็น 4 ขนาด เพื่อรอกระบวนการขั้นสุดท้ายในการคั่วกาแฟ

การชิมกาแฟ
      อีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญก่อนการคั่วจริง คือการชิมกาแฟ ซึ่งใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ แต่จะต้องเป็น ผู้เชี่ยวชาญทางกาแฟเท่านั้นที่เป็นผู้ชิมติชมคุณภาพและรสชาติรวมทั้งความหอมของกาแฟ โดยพิจารณาจากลักษณะของเมล็ด หลังจากคั่วบดผสมน้ำแล้ว ให้ดมก่อนจึงทิ้งไว้ 3 นาที คนให้ละลายแล้วจึงตักเข้าปาก 1 ช้อน แล้วให้ เคี้ยว ขอย้ำว่า ” เคี้ยว ” ห้ามกลืนลงคอเด็ดขาดแล้วบ้วนทิ้ง ชิมเสร็จก็ให้ความคิดเห็นได้เลย โดยแบ่งเป็นหลายๆ หัวข้อ อย่างลักษณะภายนอก กลิ่น รสความเก่าใหม่ Acidity และข้อบกพร่องต่างๆ
      จะเห็นได้ว่าขั้นตอนและวิธีการ ในการเก็บเกี่ยวและการคัดสรรเมล็ดกาแฟนั้นมีความยุ่งยากและละเอียดอ่อนมากๆ กว่าที่จะได้เป็นกาแฟที่เราดื่มกันทุกวันนี้ ไม่ได้ทำกันง่ายๆเลย นี้ถือว่ายังไม่จบกระบวนการผลิตของกาแฟเลย ยังเหลือวิธีการคั่ว การบด และอีกหลายขั้นตอน ก็ติดตามกันในบทความต่อไป เรื่องของกาแฟ ยังมีให้เราได้ศึกษาอีกเยอะ ที่ผมนำมาเผยแพร่นี้แค่บางส่วน ข้อความในบทความส่วนใหญ่ ผมก็ได้นำมาจากเวปให้ความรู้ต่าง และนำมารวบรวมให้อยู่ด้วยกันเพื่อที่ต้องการศึกษาจะได้มีข้อูลที่กว้างขึ้นจากหลายแหล่งความรู้ ขอบคุณที่ติดตามครับ

เช่นเดิมครับช่วงท้ายก็มีเพลงเพราะๆมาฝากกัน

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องราวของกาแฟ (ภาคต่อ 2 ) การปลูก

            มีเรื่องเหล่าเกี่ยวกับการกำเนิดของกาแฟ ที่ผมเคยได้ยินมาอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเองก็จำรายละเอียดปลีกย่อยได้ไม่มากมากนัก แต่ก็พอจำเค้าโครงของเรื่องได้บ้าง ผมจะเหล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า
คนเลี้ยงแพะคนหนึ่งเป็นชาวอาราเบีย ชื่อ คาลดี (Kaldi) นำแพะออกไปเลี้ยงตามป่าตามทุ่งต่างๆตามปกติ แพะก็หากินหญ้ากินพืชไปเรื่อยตามนิสัยของมัน แต่มีอยู่ตัวหนึ่งได้กินผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งเข้าไปแล้วเกิดอาการคึกคะนองผิดปกติ คนเลี้ยงแพะจึงได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นไปเล่าให้กับผู้นำศาสนาอิสลาม ท่านหนึ่งฟัง เมื่อท่านผู้นำศาสนาได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวแล้ว จึงได้นำผลของต้นไม้นั้นมากะเทาะเปลือกเอาเมล็ดไปคั่วแล้วต้มในน้ำร้อนแล้วดื่มลงไป ก็รู้สึกว่ามีความกระปรี้กระเปร่า 
จึงนำไปเล่าต่อให้คนอื่นฟัง
ชาวอาราเบียจึงได้เริ่มรู้จักต้นกาแฟมากขึ้น และทำให้กาแฟแพร่หลายเพิ่มขึ้นจากประเทศอาราเบีย เข้าสู่ประเทศอิตาลี เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส
ชาวอาระเบียเรียกพืชนี้ว่า“คะวาฮ์”(Kawah)หรือ “คะเวฮ์” (Kaweh) ซึ่งแปลว่าพลัง (strength) หรือความกระปรี้กระเปร่า (vigor) ชาวตุรกีเรียกว่า “คะเวฮ์” (Kaveh) ต่อมาการเรียกชื่อกาแฟจึงเปลี่ยนแปลงไปตามแหล่งต่างๆของโลก เช่น คัฟฟี (Koffee) ในอังกฤษเรียกว่า “คอฟฟี” (coffee) อันเป็นชื่อที่รู้จักและใช้ในปัจจุบันนี้ เมื่อมาถึงประเทศไทยคนไทยเรียกว่า โกปี๊ ข้าวแฝ่ และกาแฟในที่สุด
        เรื่องราวของกาแฟนั้นมีมานานมากแล้ว ในปัจจุบัธุรกิจกาแฟมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก มีคนดื่มทั่วโลกหลายล้านแก้วต่อวัน กาแฟยังเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายกันมากเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมันและก๊าชปิโตรเลียม สินค้าอะไรก็ตามที่ใช้แล้วหมดไปได้อย่างรวดเร็วนั้น ย่อมเป็นสินค้าที่มีคนต้องการมาก กาแฟอาจจะเป็นสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ยังมีความต้องการมากถ้าลองถามคน 10 คนว่ามีคนดื่มกาแฟกีคน อย่างน้อยก็ 5 คน ถ้าเป็นในประเทศไทยก็น้อยหน่อย แต่ประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกานั้น ผู้คนดื่มกาแฟ เฉลี่ย 700 แก้ว/คน/ปี หรือคนละ 2 แก้วต่อวัน ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ 
ต่อไปมาดูกันว่า อุตสาหกรรมกาแฟเขาทำกันอย่างไร ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์กาแฟในปัจจุบันนั้นมีให้เราได้เลือกบริโภคมากมาย หลายชนิด เช่น กาแฟชงพร้อมดื่ม กาแฟกระป๋อง กาแฟสด กาแฟคั่วบด ลูกอมกาแฟ ขนมรสกาแฟ ไอศกรีมกาแฟ และอีกมากมายหลากชนิด วิธีทำนั้นก็ต่างกันออกไป มาดูวิธีการที่จะได้กาแฟออกมากันว่าเขามีกรรมวิธี อย่างไร

ขั้นตอนการปลูกกาแฟ
 
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมพื้นที่
 
พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟควรเป็นที่ๆมีความสูง ประมาณ 800-12,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ความลาดชันไม่เกิน 50% ทำการกำจัดวัชพืชโดยการถางให้โล่ง เตรียมทำแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ส่วนมากเริ่มทำ ในช่วงฤดูแล้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับปลูกกาแฟในฤดูฝนที่จะมาถึง(ประมาณมิถุนายน-กรกฎาคม)

ทำแนวระดับโดยใช้อุปการณ์ช่วยเช่นไม้รูปตัวเอเขาควายหรือระดับน้ำ ทำแนวปลูกกาแฟโดยมีระยะระหว่างต้น 2 เมตร ระยะห่างระหว่างแถวขึ้นอยู่กับความลาดชัน โดยเฉลี่ยประมาณ 1.5-2 เมตร ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด 0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม

ขุดหลุมปลูกกาแฟขนาด0.5x0.5x0.5เมตร(หรือ 1 X 1 X 1 ศอก) แยกหน้าดินกับดินก้นหลุมออกจากกัน หน้าดินจะใช้ผสมใส่ลงที่ก้นหลุม 


 สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

• ดินมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง
• มีความเป็นกรดเป็นด่าง ระหว่าง 5.5-6.5
• อุณหภูมิที่เหมาะสม 25-32 องศาเซลเซียส
• ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตร/ปี
• มีช่วงแล้ง นาน 8-10 สัปดาห์ เพื่อชักนำให้เกิดตาดอกการปลูก


ขั้นตอนที่ 2 การปลูก
 
นำต้นกล้าที่มีขนาดเหมาะสมความสูงประมาณ 45-50 ซม. มีใบ 6-8 คู่ สมบูรณ์แข็งแรง ผ่านการฝึกให้ ทนทานต่อแสงแดดจัดและการขาดน้ำในเบื้องต้น แล้วนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่น ใช้ไม้ปักกันลมโยกคลอน

• ระยะปลูกระหว่างต้น-แถว 3-4 x 3 เมตร อายุต้นกล้า 6-14 เดือน และควรมีการทำร่มเงาชั่วคราวหรือปลูกพืชให้ร่มเงาเช่น สะตอ แค กระถิน เป็นพืชร่วม

การใช้ปุ๋ย

• ปีที่ 1 และ 2 ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ในอัตรา 100 และ 150 กรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง เมื่อต้นฤดูฝน และกลางฤดูฝน
• ตั้งแต่ปีที่ 3 ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ในอัตรา 600 กรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง เมื่ออายุ 3 เดือน และ 6 เดือน หลังจากดอกบาน สำหรับต้นฤดูฝนควรให้ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้ว อัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้น เพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุย
• หลังเก็บเกี่ยวและตัดแต่งกิ่ง ให้ใช้ปุ๋ยเคมี-อินทรีย์ ตราบัวทิพย์ สูตร2 ในอัตรา 100 กรัมต่อต้นต่อปี

การให้น้ำ

• กาแฟปลูกใหม่ หากไม่มีฝนตกภายใน 1-2 สัปดาห์ ต้องให้น้ำ
หลังจากติดผล ถ้าฝนทิ้งช่วงนานเกิน 3 สัปดาห์ ควรให้น้ำเดือนละ 1-2 ครั้ง จนผลกาแฟมีอายุ 3 เดือน ใช้ระบบการให้น้ำแบบฝอยละเอียด

การตัดแต่งกิ่ง

• ระยะก่อนให้ผลผลิต หลังจากปลูกกาแฟประมาณ 3-4 เดือน ตัดส่วนยอดของลำต้นให้เหลือลำต้นกาแฟสูงจากผิวดิน 30-40 เซนติเมตร
หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน เลือกกิ่งแขนงที่แข็งแรงไว้เพียง 3-5 กิ่งต่อต้น
• ระยะหลังให้ผลผลิต
- ตัดแต่งกิ่งแบบทยอย ต้นกาแฟที่มี 3-5 กิ่ง ให้ตัดกิ่งทิ้งออกที่ละ 1 กิ่ง เลี้ยงกิ่งที่แตกใหม่ทดแทน
- ตัดแต่งแบบให้เหลือไว้กิ่งเดียว มี 2 วิธี
1. ตัดลำต้นกาแฟทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 40-50 ซม. ให้เหลือไว้เพียง กิ่งเดียว เพื่อเป็นกิ่งพี่เลี้ยง ต้นกาแฟจะแตกกิ่งใหม่ภายใน 2 เดือน เลือกกิ่งที่แข็งแรงไว้ 3-4 กิ่ง เมื่อเก็บเกี่ยวผลบนกิ่งพี่เลี้ยงแล้ว จึงตัดกิ่งพี่เลี้ยงทิ้งไป
2. ตัดลำต้นกาแฟทั้งหมดสูงจากพื้นดิน 40-50 ซม. โดยไม่ต้องเหลือกิ่งพี่เลี้ยง ต้นกาแฟจะแตกลำต้นใหม่ภายใน 2 เดือน ให้เลือกลำต้นที่แข็งแรงเลี้ยงไว้ 3-5 กิ่ง

โรคที่สำคัญ

โรคแอนแทรคโนส
สาเหตุ:เชื้อรา
ลักษณะอาการ: อาการเกิดตามส่วนต่างๆ ของต้นกาแฟ
ใบ เป็นจุดสีน้ำตาลแล้วขยายใหญ่ขึ้น เนื้อเยื่อกลางแผลตาย มีสีน้ำตาลไหม้ จุดแผลแต่ละจุดขยายเชื่อมต่อกันเป็นแผลขนาดใหญ่ ทำให้ใบไหม้
ผลเชื้อเข้าทำลายทั้งในผลอ่อนและผลแก่ เริ่มแรกเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม ต่อมาแต่ละจุดขยายรวมกันเป็นแผลมีรูปร่างไม่แน่นอน เนื้อเยื่อยุบ ผลกาแฟหยุดการเจริญและเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลยังคงติดอยู่บนกิ่ง
กิ่ง บนกิ่งสีเขียวมีอาการไหม้ เนื้อเยื่อของกิ่งบริเวณที่เป็นแผลจะตาย ทำให้กิ่งเหี่ยวแห้ง ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และร่วง ตาดอกเหี่ยว
ช่วงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง ต้นกาแฟอ่อนแอ
การป้องกันกำจัด :
• รักษาระดับร่มเงาให้เหมาะสมโดยพรางแสง 50 เปอร์เซ็นต์
• คลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชื้นในดิน
• ให้ปุ๋ยและให้น้ำตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อให้มีลำต้นและทรงพุ่มแข็งแรง
• ตัดแต่งกิ่งตามคำแนะนำข้างต้น
• หลังการเก็บเกี่ยว ต้องเก็บผลกาแฟที่เป็นโรคเผาทำลายนอกแปลง
• ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชตามคำแนะนำ
- สารแมนโคแซบ อัตราการใช้ 48 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน

แมลงศัตรูกาแฟ

มอดเจาะผลกาแฟ
ลักษณะและการทำลาย :เป็นแมลงปีกแข็งสีดำขนาด 1 มิลลิเมตร วางไข่ ขยายพันธุ์และกัดกินอยู่ในผลกาแฟที่มีขนาดตั้งแต่ 0.5 ซม.ขึ้นไป จนกระทั่งผลกาแฟเริ่มสุกและสุกเป็นสีแดง มอดจะติดผลกาแฟไปถึงลาดตาก และอาศัยอยู่ในผลกาแฟสุก จนแห้งดำที่ติดค้างบนกิ่ง และผลที่หล่นใต้ต้น
ช่วงเวลาระบาด: เดือนกันยายนถึงมกราคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผลกาแฟ เริ่มสุกถึงสุก
การป้องกันกำจัด:
• เก็บผลกาแฟสุกหรือแห้งติดค้างบนกิ่ง หรือร่วงหล่นใต้ทรงพุ่ม นำไปเผาทำลายนอกแปลง
• ตัดแต่งกิ่งตามคำแนะนำข้างต้น
• หลีกเลี่ยงการตากผลกาแฟสุกบนพื้นดินบริเวณสวนกาแฟ และบริเวณใกล้เคียง
• ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูกาแฟโรบัสต้า ตามคำแนะนำ
- คลอร์ไพริฟอส (40% อีซี) อัตราการใช้ 35 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 15 วัน ตั้งแต่ผลกาแฟมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5
มิลลิเมตร จนถึงระยะผลกาแฟสุกหรือพ่นเมื่อพบการระบาด หยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน
- ไดรอะไซฟอส(40% อีซี) อัตราการใช้ 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
พ่นทุก 15 วัน ตั้งแต่ผลกาแฟมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5
มิลลิเมตร จนถึงระยะผลกาแฟสุกหรือพ่นเมื่อพบการระบาด หยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 28 วัน

หนอนกาแฟสีแดง
ลักษณะและการทำลาย: ตัวหนอนสีแดงหรือน้ำตาลแดง มีลายวงแหวนสีเหลือง มีขนสีขาวบนท้อง ผีเสื้อเพศเมียจะวางไข่บนกิ่ง และลำต้นใช้เวลาประมาณ 10 วันไข่จะฟักเป็นตัวหนอน หนอนโตเต็มที ่เมื่ออายุ 2-5 เดือน ช่วงนี้จะกัดเจาะเปลือกเป็นรูกลม เจริญเติบโต เป็นดักแด้ และตัวเต็มวัยสีขาวนวล มีจุดประสีดำอยู่เต็ม บริเวณปีกคู่หน้า ต้นและกิ่งกาแฟที่ถูกหนอนเจาะจะมียอดแห้ง กิ่งจะหักตรงบริเวณที่หนอนเจาะ หรือหักโค่นเมื่อมีลมแรง
ช่วงระบาด: ตลอดฤดูปลูก
การป้องกันกำจัด:
• ตรวจต้นและกิ่งกาแฟอย่างสม่ำเสมอ หากพบรอยที่หนอนเจาะทำลาย ให้ตัดกิ่งนำไปเผาทำลาย
• รักษาบริเวณสวนให้สะอาด
• หลีกเลี่ยงการปลูกพืชอาศัยในสวนกาแฟ และบริเวณใกล้เคียง เช่น ชมพู่ ลิ้นจี่ ชบา เป็นต้น
• ใช้สารป้องกันกำจัดแมลงศัตรูกาแฟ ตามคำแนะนำ
- คลอร์ไพริฟอส(40% อีซี) อัตราการใช้ 35 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นบริเวณกิ่งและลำต้นทุก 15 วัน หรือเมื่อพบการทำลาย หยุดการใช้สาร ก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน

วัชพืชที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

ชนิดวัชพืช
วัชพืชฤดูเดียว เป็นวัชพืชที่ครบวงจรชีวิตภายในฤดูเดียว ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าตีนนก หญ้าตีนกา หญ้านกสีชมพู หญ้าปากควาย หญ้ากุศล และหญ้าขจรจบดอกเล็ก
- ประเภทใบกว้าง เช่น ผักบุ้งยาง แมงลักป่า กระดุมขน ผักโขม สาบแร้งสาบกา และสร้อยนกเขา
- ประเภทกก เช่น หนวดแมว กกขนาก กกทราย และหนวดปลาดุก
วัชพืชข้ามปี เป็นวัชพืชที่ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยต้น ราก เหง้า หัว และไหล ได้ดีกว่าการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
- ประเภทใบแคบ เช่น หญ้าคา หญ้าชันกาด หญ้าขน หญ้าเห็บ หญ้าขจรจบดอกเหลือง และหญ้าแพรก
- ประเภทใบกว้างเช่น สาบเสือ ผักปราบ มังเคร่ ขี้ไก่ย่าน และครอบจักรวาล
- ประเภทกก เช่น แห้วหมู และกกตุ้มหู
การป้องกันกำจัด:
• ไถตากดิน 1 ครั้งทิ้งไว้ 7-10 วัน แล้วจึงพรวน 1 ครั้ง
• คราดเก็บเศษซาก ราก เหง้า หัว ไหล ของวัชพืชข้ามปี ออกจากแปลงก่อนจัดระยะ และทำหลุมปลูก
• คลุมโคนต้นด้วยเศษพืช ระวังอย่าให้มีความชื้นสูงในฤดูฝน
• ใช้เครื่องตัดวัชพืช ระหว่างแถวระหว่างต้นให้สั้น ก่อนวัชพืชออกดอก
กำจัดวัชพืชใต้ทรงพุ่มกาแฟ โดยใช้จอบดาย ระวังการกระทบกระเทือน รากกาแฟ
• พ่นสารกำจัดวัชพืชตามคำแนะนำ
- วัชพืชฤดูเดียว ใช้พาราควอท(27.6% เอสแอล) อัตรา 75-100 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อวัชพืชมี 5-7 ใบ หรือก่อนวัชพืชออกดอก ระวังละอองสารสัมผัสใบและต้นกาแฟ ไม่พ่นเกินปีละ 2 ครั้ง
- วัชพืชข้ามปี ใช้กลูโฟซิเนต แอมโมเนียม (15% เอสแอล)อัตรา 400-500 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ไกลโฟเสท(48% เอสแอล)อัตรา 125-150 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
การเก็บเกี่ยว


   


• เก็บเกี่ยวผลกาแฟ อายุ 11 เดือนหลังออกดอก โดยทะยอยเก็บทุก ๆ 3 สัปดาห์ และเก็บผลกาแฟที่สุกพอดี ซึ่งจะมีผลสีส้ม หรือส้มแดง แล้วนำไปคัดเลือกทันที เพื่อตาก และจัดเก็บในห้องเก็บต่อไป
จะเห็นได้ว่ากาแฟมีขั้นตอนการปลูกที่ยุ่งยากพอสมควร ยิ่งถ้าเป็นพันธุ์ อราบิก้า ด้วยแล้วยิ่่งอยากไปใหญ่ ถ้าใครสนใจที่จะทำไร่กาแฟก็ลองศึกษาให้ละเอียดดูละกันนะครับ บทความนี้คงจะมีเพียงเท่านี้ ในบทความหน้าเราจะมาว่ากันต่อในเรืองการดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยวผลผลิตกันครับ      ขอบคุณที่ติดตาม

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องราวของกาแฟ ( ภาคต่อ1 )

สายพันธุ์กาแฟ          

             ในบทความที่แล้วผมก็ได้เขียนถึงประวัติและความเป็นมาของกาแฟ ไปบ้างแล้ว อันที่จริงไม่ได้เขียนเองแต่ไปเอาข้อมูลมาจาก WIkipedia ซึ่งมีข้อมูลที่หลากหลายและครอบคลุม แต่สำนวนในการใช้ของเวปนี้อาจจะออกไปทางตะวันตกไปซักนิด เพราะเป็นเวปของต่างชาติเขา ในบทความนี้ผมก็จะนำเสนอข้อมูลของ สายพันธุ์กาแฟ ที่นิยมนำมาบริโภคมากที่สุด จากที่ทราบกันมาในบทความที่แล้วว่ากาแฟนั้นมีหลายสายพันธ์พอสมควรแต่สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือพันธุ์ อริบิก้า ซึ่งเมื่อนำมาคั่วแล้วบดนั้นจะได้กาแฟที่มีคุณภาพและมีกลิ่นหอม รสชาติดี อันที่จริงแล้วตัวผมเองไม่ได้มีความรู้เรื่องกาแฟซักเท่าไหร่ เพียงเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟ และนิสัยส่วนตัวเป็นคนที่เบื่ออะไรง่ายๆ ก็เลยหาเรื่องทำไปเรื่อย ถ้ามีเรื่องใดที่พอจะเป็นประโยชน์ กับคนอื่นบ้าง ก็พยายามรวบรวมเรื่องราวต่างมาไว้ในบทความเพื่อผู้ที่สนใจหาความรู้รอบตัวได้มาอ่านแล้วสรุปความได้ในที่เดียวโดยไม่ต้องไปหาข้อมูลจากที่อื่นอีก มาว่ากันที่สายพันธ์กาแฟกัน สายพันธ์หลักมีดังนี้

1. พันธุ์คาทูร่า   ซึ่งเป็นสายพันธุ์ของกาแฟอาราบิก้าดั้งเดิม
2.พันธุ์ทิปปิก้า   (Typica) มีลักษณะเด่นยอดเป็นสีทองแดง ติดลูกห่างระหว่างข้อ มีใบเล็กเรียบ เจริญเติบโตเร็ว แต่ไม่ทนต่อโรค ฯลฯ เป็นพันธุ์ดั้งเดิม ต้นกำเนิดของกาแฟอาราบิก้าเริ่มปลูกในเยเมน แล้วแพร่หลายไปสู่ประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย อเมริกาใต้ ฟิลิปปินส์และฮาวาย
3.พันธุ์บลูเมาเทน ( Bule Mountion) กลายพันธุ์มาจากพันธุ์ทิปปิก้า นำไปปลูกที่บลูเมาเทนในจาไมก้ามีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมบนภูเขาที่สูง เป็นกาแฟที่มีคุณภาพและรสชาติดีมาก เป็นที่ยอมรับของตลาดผู้บริโภค ถือว่าเป็นกาแฟมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของโลก จึงมีราคาแพงที่สุดเช่นกัน
4.พันธุ์มอกก้า   (Mocha หรือ Mokka) เป็นกาแฟส่งออกผ่านท่าเรือโมช่า( Mocha) ใช้ชื่อการค้าว่า ม็อกกา ( Mokka) ใประเทศอินโดนีเซีย มีความแตกต่างอย่างมากจากพันธุ์ที่ปลูกในแหล่งเดิม มีเอกลักษณ์กลิ่นหอมผลไม้คล้ายโกโก้ อย่างไรก็ตามพันธุ์นี้มีผลทางเศรษฐกิจน้อยมาก เพราะมีปริมาณผลผลิตจำกัดที่ออกสู่ตลาด
5.พันธุ์โคน่า   (Kona) เป็นที่รู้จักดีสำหรับคอกาแฟในคุณภาพและรสชาติที่ติดอันดับต้นๆของกาแฟทั่ว โลก ตามรูปแบบของกาแฟพันธุ์ทิปปิก้า ได้นำมาจากเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล มาปลูกในเมืองโคน่า ประเทศฮาวาย ภายใต้ชื่อการค้า "ฮาวายโคน่า"มีราคาที่แพงที่สุดในตลาดโลกเช่นเดียวกับ บลูเมาเทน
6.พันธุ์เบอร์บอน
7.พันธุ์อิคาทู
8.พันธุ์มันโดโนโว

9.พันธุ์คาทุย 
10.พันธุ์คาติมอร์  หรือ พันธุ์อาราบิก้า เป็นการเรียกชื่อพันธุ์มาจากคำว่า คาทูร่า( Catturra) และ ไฮบริโด เดอ ติมอร์ ( Hibrido de Timor) เป็นชื่อเรียกตามการผสมข้ามสายพันธุ์ ระหว่างคาทูร่าผลแดง เป็นต้นแม่พันธุ์ และ ไฮบริโด เดอ ติมอร์เป็นต้นพ่อพันธุ์ ผลการผสมระหว่างลูกผสมข้ามชนิด ทำให้ลูกผสมที่ได้มีความต้านทานต่อโรคราสนิมและได้ลักษณะทรงเตี้ย ผลผลิตสูง และใช้หมายเลข CIFC 19/1 และ 832/1 ซึ่งกำหนดโดยนักปรับปรุงพันธุ์พืชที่ Centro de Investicao das Ferrugens de Cafeeiro (CIFC) ในประเทศโปรตุเกส 
11.พันธุ์โรบัสต้า (Robusta)  ปลูกง่าย ทนต่อโรค และให้ผลผลิตเยอะ ต้นนึงจะได้เมล็ดกาแฟราวๆ  2-3  ปอนด์ต่อปี มีคาเฟอีนราวๆ  2%  ในตลาดกาแฟจะถือว่าเป็นกาแฟคุณภาพต่ำ
ในภัตตาคารหรูๆ จะไม่เสริฟกาแฟพันธุ์นี้.. แต่นิยมเอาไปทำกาแฟสำเร็จรูป หรือนำไปผสมกับพันธุ์อื่นๆ .. กาแฟพันธุ์โรบัสต้าจากเวียตนามเป็นโรบัสต้าพันธุ์เดียวที่คุ้มที่จะลองดื่ม แต่ต้องเตรียมด้วยวิธีการเฉพาะตามแบบของเวียตนาม
โรบัสต้า ปลูกในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศแถบร้อนชื้น มีรสชาติเข้มข้น หอมฉุนกว่ากาแฟพันธุ์อาราบิก้า มีสัดส่วน ของผลผลิตกาแฟทั่วโลกถึง 25% กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต้านทานโรคสูง ปลูกง่าย ให้ผลผลิตต่อไร่สูง การบำรุงรักษาทำได้ง่าย กาแฟสายพันธุ์นี้มีปริมาณของคาเฟอีนประมาณ 2% นิยมนำไปทำเป็นกาแฟผงหรือกาแฟสำเร็จรูป ( Instant Coffee) รวมไปถึงการนำไปผสมกับสายพันธุ์อื่นเพื่อให้มีรสชาติ กลิ่น ที่แปลกไปจากเดิมหรือที่เรียกว่าเบลนด์กาแฟนั่นเอง
 12.กาแฟพันธุ์ไลเบริกา( Libelica)
เป็นพันธุ์กาแฟที่มาจากแถบแอฟริกา การปลูกและการดูแลรักษาทำได้ง่ายเหมือนโรบัสต้า แต่ราคาจะไม่ดีเท่าอาราบิก้า ผู้คนนิยมดื่มกาแฟ พันธุ์นี้น้อยกว่า อราบิก้าและโรบัสต้า ส่วนมากจะนำกาแฟพันธุ์นี้ไปปรุงพิเศษหรือการผสมรวมกับกาแฟพันธุ์อื่นนั่นเอง เพื่อให้ได้รสชาติและกลิ่นตามความต้องการดื่มของแต่ละคน
            จะเห็นได้ว่าสายพันธุ์ของกาแฟนั้นมีเยอะมากมาย แต่กาแฟที่ได้รับความนิยมและเป็นสินค้าเศรษฐกิจ ที่สำคัญนั้นมี แค่ 3 สายพันธ์เท่านั้น ก็คือ อราบิก้า , โรบัสต้า และ ไรเบริก้า
           กาแฟ อราบิก้า ถือว่าเป็นกาแฟที่ดีที่สุด เรียกว่าเป็นราชินีอยุ่บนยอดดอยได้เลยเพราะกาแฟพันธุ์อาราบิก้านี้ปลูกและ ดูแลรักษาค่อนข้างยากลำบากต้องปลูกในที่สูงและอุณหภูมิเหมาะสมจึงจะได้กาแฟ รสดีไม่เพี้ยนไปจากพันธุ์ดั้งเดิม โดยความสูงต้องตั้งแต่ 1000 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเลและมีความลาดเอียงของพื้นที่ปลูกไม่เกิน 30% อุณหภูมิที่พอเหมาะจะอยู่ที่ 15 - 25 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60%
                                                           คิดว่าคงได้รับข้อมูลกันไปพอสมควร ส่วนใครที่อยากจะเรียนรู้แบบวิเคราะห์เจาะลึกลงไปในรายละเอียดของกาแฟ แต่ละสายพันธุ์ ก็ไปแสวงหาความรุ้จากแหล่งเรียนรู้ต่างนะครับ อย่างเช่น จากอินเทอร์เน็ต   จากหนังสือต่างๆ ในบทความนี้ก็คงจะมีเพียงเท่านี้ก่อน หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ของคุณที่ติดตาม ขอให้คุณอิ่มอกอิ่มใจกับกาแฟถ้วยโปรดของคุณนะครับ                                                            


ทุกคนมีปีศาจซ่อนอยู่ในตัวนะครับ

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องราวของกาแฟ

มีคนจำนวนมากในโลกใบนี้ ที่รุ้จักและดื่มกาแฟเป็นประจำทุกๆวัน กาแฟที่ถูกปรุงใหมีรสชาติมากมาย ก่อนที่เราจะมารู้จักกาแฟในหลายรสชาติ เราต้องรู้จักจุดเริ่มต้นของมันก่อนว่ามีความเป็นมาเป็นอย่างไร
เป็นที่เชื่อกันว่าบรรพบุรุษชาวเอธิโอเปียของชาวโอโรโมในปัจจุบัน เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งรู้จักผลกระทบกระตุ้นประสาทของเมล็ดจากต้นกาแฟ[3] อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานโดยตรงซึ่งชี้ชัดว่าต้นกาแฟมีการปลูกอยู่ที่ใดในทวีปแอฟริกา หรือผู้ใดในกลุ่มชาวพื้นเมืองซึ่งอาจใช้มันเป็นสารกระตุ้น หรือแม้แต่รู้ถึงผลกระทบนั้น ก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 17 เรื่องราวของ คาลดี เด็กเลี้ยงแกะชาวเอธิโอเปียในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 ผู้ซึ่งค้นพบต้นกาแฟนั้น มิได้ปรากฏชื่อในงานเขียนจนกระทั่งถึง ค.ศ. 1671 หรืออาจเป็นเพียงเรื่องปลอมเท่านั้น จากเอธิโอเปีย สันนิษฐานว่ากาแฟได้แพร่กระจายไปยังเยเมน ที่ซึ่งมีการดื่มและผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นได้แพร่ไปยังอียิปต์ในขณะที่ หลักฐานซึ่งเชื่อถือได้สามารถสืบย้อนไปได้ไกลที่สุด ถึงการดื่มกาแฟในวิหารซูฟีในม็อคค่าในเยเมน[3] ที่ซึ่งในอาระเบีย ได้มีการคั่วและชงเมล็ดกาแฟเป็นครั้งแรก อันเป็นวิธีที่คล้ายคลึงกับการเตรียมกาแฟ ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 16 กาแฟได้แพร่ขยายไปทั่วถึงตะวันออกกลาง เปอร์เซีย ตุรกี และแอฟริกาเหนือ
ในปี ค.ศ. 1583 เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ แพทย์ชาวเยอรมัน ได้บรรยายถึงกาแฟหลังจากท่องเที่ยวในดินแดนตะวันออกใกล้เป็นเวลากว่าสิบปีไว้ว่าดังนี้:
เครื่องดื่มที่มีสีดำเหมือนหมึก ใช้รักษาโรคภัยได้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับท้อง ผู้ดื่มจะดื่มในตอนเช้า มันเป็นการนำน้ำและผลไม้จากไม้พุ่มที่เรียกว่า bunnu
— เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ ใน Reise in die Morgenländer
จากโลกมุสลิม กาแฟได้แพร่ขยายไปยังอิตาลี การค้าขายระหว่างเวนิซกับแอฟริกาเหนือ อียิปต์และตะวันออกกลางที่เจริญขึ้น ทำให้อิตาลีได้รับสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงกาแฟด้วย หลังจากนั้น กาแฟก็ได้แพร่กระจายจากเมืองท่าเวนิซไปทั่วยุโรป กาแฟได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายมากขึ้น หลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ลงความเห็นว่ามันเป็นเครื่องดื่มสำหรับคริสเตียน ในปี ค.ศ. 1600 แม้ว่าจะมีการร้องเรียนให้ยกเลิก "เครื่องดื่มมุสลิม" ก็ตาม ร้านกาแฟแห่งแรกในทวีปยุโรปเปิดในอิตาลีในปี ค.ศ. 1645  ชาวดัตช์เป็นชนชาติแรกที่นำเข้ากาแฟเป็นจำนวนมาก และฝ่าฝืนข้อห้ามของอาหรับเกี่ยวกับการส่งออกพืชและเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่ว เมื่อ Pieter van den Broeck ลักลอบนำเข้ากาแฟจากเอเดนไปยังยุโรปในปี ค.ศ. 1616 ในภายหลังชาวดัตช์ยังได้นำไปปลูกในเกาะชวาและซีลอน ซึ่งผลผลิตกาแฟจากเกาะชวาสามารถส่งไปยังเนเธอร์แลนด์ได้ในปี ค.ศ. 1711 และด้วยความพยายามของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ทำให้กาแฟได้รับความนิยมในประเทศอังกฤษเช่นเดียวกัน กาแฟเข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1657 และเข้าสู่ออสเตรียและโปแลนด์ หลังจากยุทธการเวียนนา เมื่อปี ค.ศ. 1683 ซึ่งทหารสามารถยึดเสบียงของทหารออตโตมานเติร์กที่พ่ายแพ้ในการรบครั้งนั้น
หลังจากนั้น กาแฟได้เข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือในช่วงยุคอาณานิคม แต่ว่าไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกัน ปริมาณความต้องการกาแฟได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกพ่อค้ากักตุนสินค้าเอาไว้และปั่นราคาขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากการที่พ่อค้าชาวอังกฤษไม่สามารถนำเข้าชาได้มากนัก หลังจากสงครามปี 1812 ในช่วงที่อังกฤษงดการนำเข้าชาเป็นการชั่วคราว ชาวอเมริกันจึงหันมาดื่มกาแฟแทน และมีปริมาณความต้องการสูงมากในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกัน ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาของเทคโนโลยีการต้มเหล้าทำให้กาแฟกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในสหรัฐอเมริกาจนถึงปัจจุบัน[19] แต่ในอังกฤษ ปริมาณการบริโภคกาแฟกลับลดลง และชาวอังกฤษหันไปบริโภคชาแทนระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 เครื่องดื่มชาเป็นเครื่องดื่มซึ่งเตรียมขึ้นได้ง่ายกว่า และหาซื้อได้ในราคาถูกจากการยึดครองอินเดียและอุตสาหกรรมชาในอินเดียของอังกฤษ

ชีววิทยา

ดูบทความหลักที่: ต้นกาแฟ
ภาพลำต้นและเมล็ดของกาแฟอาราบิก้า (Coffea Arabica)
ต้นกาแฟเป็นพืชพื้นเมืองเขตร้อนแถบแอฟริกาและเอเชียใต้[21] กาแฟถูกจัดให้อยู่รวมกับพืชมีดอก ของวงศ์ Rubiaceae ถูกจัดเป็นต้นไม้ประเภทไม่ผลัดใบ ต้นกาแฟสามารถสูงได้ถึง 5 เมตรถ้าไม่เล็มออก ใบของต้นกาแฟมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน ขนาดโดยเฉลี่ยยาว 10-15 เซนติเมตร และกว้าง 6 เซนติเมตร ดอกของต้นกาแฟมีสีขาว มีกลิ่นหอม และจะบานพร้อมกันทั้งต้น ผลกาแฟมีลักษณะรียาวประมาณ 1.5 เซนติเมตรผลกาแฟอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อสุก สีของเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และเมื่อนำไปผึ่งให้แห้ง สีของเมล็ดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและสีดำในที่สุด ผลกาแฟแต่ละผลจะมีเมล็ดอยู่สองเมล็ด แต่ผลกาแฟประมาณ 5-10% จะมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว[23] เมล็ดจำพวกนี้จะเรียกว่า พีเบอร์รี่ โดยปกติแล้ว ผลกาแฟจะสุกภายในเจ็ดถึงเก้าเดือน

การเพาะปลูก[แก้]

กาแฟมักจะได้รับการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด วิธีดั้งเดิมในการปลูกกาแฟคือการใส่เมล็ดกาแฟจำนวน 20 เมล็ดในแต่ละหลุม เมื่อย่างเข้าฤดูฝน เมล็ดกาแฟครึ่งหนึ่งจะถูกกำจัดตามธรรมชาติ เกษตรกรมักจะปลูกต้นกาแฟร่วมกับพืชผลประเภทอื่น ๆ อย่างเช่น ข้าวโพด ถั่วหรือข้าว ในช่วงปีแรก ๆ ของการเพาะปลูก[22]
แหล่งผลิตกาแฟของโลก
r: แหล่งปลูก Coffea canephora
m: แหล่งปลูก Coffea canephora และ Coffea arabica
a: แหล่งปลูกCoffea arabica
กาแฟสายพันธุ์หลักที่ปลูกกันทั่วโลกมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ Coffea canephora และ Coffea arabica กาแฟอาราบิกา (ผลผลิตจาก Coffea arabica) ถูกพิจารณาว่าเหมาะแก่การดื่มมากกว่ากาแฟโรบัสตา (ผลผลิตจาก Coffea canephora) เพราะกาแฟโรบัสตามักจะมีรสชาติขมกว่าและมีรสชาติน้อยกว่ากาแฟอาราบิกา ด้วยเหตุผลดังกล่าว กาแฟที่เพาะปลูกกันจำนวนกว่าสามในสี่ของโลกจึงเป็น Coffea arabica[21] อย่างไรก็ตาม Coffea canephora สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถก่อให้เกิดโรคได้น้อยกว่า Coffea arabica และสามารถปลูกได้ในสภาพแวดล้อมที่ Coffea arabica ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ กาแฟโรบัสตามีปริมาณคาเฟอีนผสมอยู่มากกว่ากาแฟอาราบิกาอยู่ประมาณ 40-50%[25] ดังนั้น ธุรกิจกาแฟจึงมักใช้กาแฟโรบัสตาทดแทนกาแฟอาราบิกาเนื่องจากมีราคาถูกกว่า กาแฟโรบัสตาคุณภาพดีมักจะใช้ผสมในเอสเพรสโซเพื่อให้เกิดฟองและลดค่าวัตถุดิบลง[26] นอกจากกาแฟทั้งสองสายพันธุ์นี้แล้ว ยังมี Coffea liberica และ Coffea esliaca ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพืชท้องถิ่นของประเทศไลบีเรียและทางตอนใต้ของประเทศซูดานตามลำดับ[25]
เมล็ดกาแฟอาราบิกาส่วนใหญ่ปลูกในละตินอเมริกา แอฟริกาตะวันออก อาราเบียหรือเอเชีย ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสตาปลูกในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง ไปจนถึง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของประเทศบราซิล[21] เมล็ดกาแฟที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันส่งผลให้เมล็ดกาแฟของแต่ละท้องถิ่น ทำให้เกิดลักษณะเฉพาะตัว อย่างเช่น รสชาติ กลิ่น สัมผัสและความเป็นกรด[27] ลักษณะรสชาติของกาแฟนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ปลูกเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์กำเนิดและกระบวนการผลิตด้วย[28] ซึ่งโดยปกติแล้ว ความแตกต่างนี้จะสามารถรับรู้กันในท้องถิ่นเท่านั้น

ปริมาณการผลิต[แก้]

ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ 10 อันดับของโลก - 11 มิถุนายน 2008
ประเทศปริมาณการผลิต (เมตริกตัน)[29]ปริมาณการผลิต (ถุง)[30]หมายเหตุ
ธงของประเทศบราซิล บราซิล17,000,00036,070
ธงของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เวียดนาม15,580,00018,000*
ธงของประเทศโคลอมเบีย โคลอมเบีย9,400,00012,400F
ธงของประเทศอินโดนีเซีย อินโดนีเซีย2,770,5546,446*
ธงของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย เอธิโอเปีย1,705,4465,733*
ธงของประเทศเม็กซิโก เม็กซิโก962,0004,500F
ธงของสาธารณรัฐอินเดีย อินเดีย954,0004,367F
ธงของประเทศเปรู เปรู677,0004,250ประมาณการ ปี 2008
ธงของประเทศกัวเตมาลา กัวเตมาลา568,0004,000F
ธงของประเทศฮอนดูรัส ฮอนดูรัส370,0003,833F
ธงชาติของโลก โลก7,742,675118,920A
ไม่มีสัญลักษณ์ = ตัวเลขอย่างเป็นทางการ, F = ประมาณการขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ, * = ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ กึ่งทางการ, A = สถิติรวม

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม[แก้]

ดูบทความหลักที่: กาแฟกับสิ่งแวดล้อม
ภาพของต้น Coffea arabica ขณะกำลังออกดอก ในบราซิล
ในอดีต การปลูกต้นกาแฟจะทำในร่มเงาของต้นไม้ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และแมลงทั้งหลาย[31] ทฤษฎีนี้มักจะเป็นไปตามทฤษฎีเงาดั้งเดิม ในปัจจุบัน เกษตรกรจำนวนมากได้เปลี่ยนไปใช้วิธีการปลูกต้นกาแฟแบบทันสมัย โดยการใช้แสงอาทิตย์ในการปลูกต้นกาแฟ ซึ่งต้นกาแฟจะถูกปลูกเรียงกันเป็นแถวอยู่ใต้แสงอาทิตย์โดยมีปะรำป่าเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย การปลูกแบบใหม่นี้ทำให้เมล็ดกาแฟสุกเร็วขึ้นและให้ผลผลิตมากขึ้น แต่การปลูกแบบดังกล่าวจำเป็นต้องตัดต้นไม้ ใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงจำนวนมาก[32] อีกด้านหนึ่ง การปลูกต้นกาแฟแบบดั้งเดิมจะทำให้เมล็ดกาแฟสุกช้ากว่าการปลูกต้นกาแฟแบบใหม่และให้ผลผลิตน้อยกว่า แต่จะให้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูงกว่า นอกเหนือจากนั้น ทฤษฎีเงาดั้งเดิมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในกับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก นักวิจารณ์การปลูกกาแฟแบบใหม่กล่าวว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น การตัดไม้ทำลายป่า มลภาวะที่เกิดจากยาฆ่าแมลง การทำลายที่อยอาศัยของสัตว์ป่า การเสื่อมคุณภาพของดินและน้ำ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการปลูกต้นกาแฟแบบใหม่นี้[31] สมาคมดูนกอเมริกันเป็นผู้นำการรณรงค์ "การปลูกในร่มเงา" และ กาแฟอินทรีย์ ซึ่งพวกเขาสนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงการปลูกกาแฟให้เป็นแบบดังกล่าว[33] อย่างไรก็ตาม ขณะที่การปลูกต้นกาแฟในร่มหลายแบบแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางชีวภาพมากกว่าระบบการปลูกต้นกาแฟกลางแจ้ง มันก็ยังเทียบไม่ได้กับป่าท้องถิ่นในแง่ของที่อยู่อาศัยของสัตว์[34]
อีกประเด็นหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ การใช้น้ำในการผลิตกาแฟ ตามที่นิตยสาร New Scientist ระบุว่า ต้องใช้น้ำจำนวนถึง 140 ลิตรในกระบวนการปลูกต้นกาแฟไปจนถึงผลผลิตกาแฟหนึ่งถ้วย และกาแฟมักจะถูกปลูกในประเทศที่มีการขาดแคลนน้ำ อย่างเช่น เอธิโอเปีย[35]

เศรษฐกิจ[แก้]

ดูบทความหลักที่: เศรษฐกิจกาแฟ
ปริมาณการบริโภคกาแฟทั่วโลกในปี 2003
บราซิลเป็นประเทศที่ส่งออกกาแฟสูงที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เวียดนามกลายมาเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสตารายใหญ่ของโลก[36] อินโดนีเซียเป็นประเทศส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสาม และเป็นผู้ผลิตกาแฟอาราบิกาละลาย ราคาซื้อขายกาแฟโรบัสตาในลอนดอนมีราคาถูกกว่าในนิวยอร์ก ซึ่งทำให้ลูกค้าผู้ประกอบการอุตสาหกรรม อย่างเช่น บริษัทข้ามชาติและผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูป โอนเอียงไปทางกาแฟในลอนดอนมากกว่า เพราะว่ามีราคาถูกกว่า บริษัทข้ามชาติสี่แห่ง (ประกอบด้วย ครอฟท์ เนสเล่ พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและซาร่า ลี) ได้ซื้อกาแฟคิดเป็นปริมาณ 50% ของผลผลิตต่อปี[37] การเลือกซื้อกาแฟโรบัสตาราคาถูกของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสี่ของตลาดกาแฟทำให้เกิดความเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคากาแฟตกต่ำ[38] และปริมาณความต้องการเมล็ดกาแฟอาราบิกาคุณภาพสูงกระเตื้องขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มีความเห็นว่าการเข้ามาล้นตลาดของกาแฟเขียวราคาถูกอย่างมหาศาล หลังจากการล่มสลายของข้อตกลงกาแฟสากลแห่งปี 1975-1989 ได้ส่งผลกระทบยืดเยื้อต่อวิกฤตการณ์ราคากาแฟตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 ถึงปี ค.ศ. 2004[34] ในปี ค.ศ. 1997 ราคาของกาแฟในนิวยอร์กแตะระดับที่ 3 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ แต่เมื่อถึงปลายปี ค.ศ. 2001 ราคาของกาแฟเหลือเพียง 0.43 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์[39] ในปี ค.ศ. 2007 ราคากาแฟขายส่งอยู่ที่ประมาณ 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ (จาก 69 เซนต์ในลอนดอน เมื่อเดือนมีนาคม มาเป็น 134 เซนต์ในนิวยอร์ก เมื่อเดือนตุลาคม) และราคาของกาแฟโรบัสตาคิดเป็น 70% ของกาแฟอาราบิกา ราคาซื้อขายกาแฟผันผวนอย่างมากจากราคาโดยเฉลี่ย 3 ดอลลาร์สหรัฐในโปแลนด์ 3.5 ดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐอเมริกาและ 17 ดอลลาร์สหรัฐในสหราชอาณาจักร[40]
แนวคิดของการค้าโดยชอบธรรมให้การรับรองว่าเกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนตามจำนวนราคาที่เจรจาไว้ก่อนการเพาะปลูก เริ่มจากมูลนิธิแมกซ์ ฮาเวลลาร์ ที่เริ่มต้นโครงการดังกล่าวในเนเธอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 2004 ผลผลิตกาแฟ 24,222 เมตริกตันจากผลผลิตกาแฟทั้งหมด 7,050,000 เมตริกตันทั่วโลกเป็นไปตามแนวคิดการค้าโดยชอบธรรม ปีต่อมา ผลผลิตกาแฟ 33,991 เมตริกตันจากทั้งหมด 6,685,000 เมตริกตันเป็นไปตามแนวคิดการค้าโดยชอบธรรม ปริมาณผลผลิตกาแฟที่ค้าอย่างชอบธรรมคิดเป็น 0.34% ในปี 2004 และ 0.51% ในปี 2005[41][42] จากการศึกษาจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่าผลผลิตกาแฟที่ค้าอย่างชอบธรรมมีผลกระทบในด้านบวกต่อชุมชนที่ปลูกกาแฟ การศึกษาครั้งหนึ่งในปี 2002 แสดงให้เห็นว่าการค้าอย่างชอบธรรมจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทผู้ผลิต เพิ่มผลตอบแทนในการผู้ผลิตรายย่อย และส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น[43] การศึกษาครั้งหนึ่งในปี 2003 สรุปว่าการค้าโดยชอบธรรมนั้น "ได้พัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเกษตรกรปลูกกาแฟรายย่อยและครอบครัวอย่างมาก"[44] ด้วยการเข้าถึงความน่าเชื่อถือและเงินทุนการพัฒนาจากภายนอก[45] และการเข้าถึงการฝึกฝนได้มากขึ้น ทำให้มีโอกาสพัฒนาคุณภาพของกาแฟที่ปลูก[46] ครอบครัวของเกษตรกรปลูกต้นกาแฟยังมีความมั่นคงมากกว่าผู้ที่ไม่อยู่ในการค้าโดยชอบธรรม และลูกของพวกเขาก็สามารถเข้าถึงการศึกษาที่ดีขึ้น[47] จากการศึกษาของบริษัทผู้ผลิตกาแฟแห่งหนึ่งในโบลิเวียในปี 2005 สรุปว่าการรับรองการค้าโดยชอบธรรมจะส่งผลกระทบในด้านบวกต่อราคากาแฟในท้องถิ่น และให้ผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่ผู้ผลิตกาแฟทุกราย[48]
การผลิตและการบริโภค กาแฟที่ค้าอย่างชอบธรรม ได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบกากาแฟท้องถิ่นและกาแฟระดับชาติได้เริ่มมอบข้อเสนอทางเลือกการค้าโดยชอบธรรมให้แก่เกษตรกร[49]

การซื้อขายกาแฟ[แก้]

กาแฟยังได้ซื้อขายกันโดยนักลงทุนและผู้แสวงหากำไรเนื่องจากเป็นสินค้าซื้อขายกัน สัญญาซื้อขายกาแฟล่วงหน้าได้รับการลงนามใน New York Mercantile Exchange ภายใต้สัญลักษณ์การค้าขาย KT และการส่งสัญญาจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม พฤษภาคม กรกฎาคม กันยายนและธันวาคม[50]

การผลิตเมล็ดกาแฟ[แก้]

ดูบทความหลักที่: กระบวนการผลิตกาแฟ

การคั่ว[แก้]

ดูบทความหลักที่: การคั่วเมล็ดกาแฟ
เมล็ดกาแฟหลังผ่านการคั่วแล้ว
ผลกาแฟและเมล็ดกาแฟต้องผ่านกระบวนการมากมายก่อนที่จะกลายมาเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว ขั้นแรก กาแฟจะถูกเลือกสรร โดยใช้มือเป็นส่วนใหญ่ จากนั้น นำมาจัดเรียงตามความสุก สี จากนั้นเนื้อกาแฟจะถูกนำออกโดยเครื่องจักร ส่วนเมล็ดกาแฟจะถูกหมักเพื่อกำจัดชั้นเมือกบาง ๆ ที่เกาะอยู่ตามเมล็ด เมื่อกระบวนการหมักเสร็จสิ้น เมล็ดกาแฟจะถูกล้างทำความสะอาดโดยใช้น้ำบริสุทธิ์คุณภาพสูงเพื่อกำจัดกากที่เกิดจากการหมัก ซึ่งก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีการปนเปื้อนสูงปริมาณมาก หลังจากนั้น เมล็ดกาแฟจะถูกนำไปตากแห้ง จัดเรียงและระบุว่าเป็นเมล็ดกาแฟเขียว[51]
ขั้นตอนต่อไปคือการคั่วเมล็ดกาแฟเขียว โดยปกติแล้ว กาแฟมักจะถูกจำหน่ายหลังจากคั่วแล้ว และกาแฟทุกรูปแบบจำเป็นต้องคั่วก่อนที่จะบริโภค กาแฟสามารถคั่วได้โดยผู้ประกอบการหรือคั่วเองได้ที่บ้าน[52] กระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟจะส่งผลต่อรสชาติของเมล็ดกาแฟ เนื่องจากเมล็ดกาแฟมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและทางเคมี เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วจะมีมวลลดลงเพราะสูญเสียความชื้นไป แต่จะมีปริมาตรมากขึ้น ทำให้มันมีความหนาแน่นลดลง ความหนาแน่นของเมล็ดกาแฟเองก็ส่งผลต่อความเข้มของกาแฟและความจำเป็นในการบรรจุ กระบวนการคั่วจะเริ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิภายในเมล็ดกาแฟสูงถึง 200 °C แม้ว่าเมล็ดกาแฟแต่ละประเภทจะมีความชื้นและความหนาแน่นที่แตกต่างกัน และยังคั่วด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน[53] ระหว่างการคั่ว ปฏิกิริยารีดอกซ์ของน้ำตาลจะเกิดขึ้นภายในเมล็ดกาแฟ หลังจากที่ความร้อนมหาศาลได้เผาแป้งที่อยู่ในเมล็ดกาแฟ และเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวซึ่งจะเริ่มเกรียม และเปลี่ยนสีของเมล็ดกาแฟ[54] ระหว่างกระบวนการคั่ว เมล็ดกาแฟจะสูญเสียซูโครสอย่างรวดเร็วและอาจสูญเสียไปทั้งหมดหากคั่วติดต่อกันเป็นเวลานาน ระหว่างการคั่ว น้ำมันหอม กรดและคาเฟอีนจะอ่อนลง ทำให้รสชาติของกาแฟเปลี่ยนไป ที่อุณหภูมิ 205 °C น้ำมันชนิดอื่นจะขยายขึ้น[53] หนึ่งในนั้นคือ caffeol ซึ่งเกิดขึ้นที่อุณหภูมิ 200 °C ซึ่งทำให้กาแฟมีกลิ่นและรสชาติ[15]
สีของเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่ว สามารถแบ่งได้ด้วยสายตามนุษย์ออกเป็น อ่อน อ่อนปานกลาง ปานกลาง เข้มปานกลาง เข้มและเข้มมาก วิธีตรวจสอบที่มีความแน่นอนกว่าในการตรวจหาระดับของการคั่ว คือ การตรวจวัดแสงสะท้อนจากเมล็ดกาแฟหลังจากการคั่วแล้ว โดยอาศัยแสงจากแหล่งกำเนิดแสงที่ใกล้กับอินฟราเรดสเปคตรัม เครื่องวัดแสงอย่างประณีตใช้กระบวนการที่เรียกว่า สเปคโตรสโกปี เพื่อคืนจำนวนที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งจะบ่งบอกถึงความสัมพันธ์กับระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟหรือการพัฒนารสชาติของมัน เครื่องมือดังกล่าวจะถูกใช้ในการรับประกันคุณภาพของกาแฟในธุรกิจคั่วกาแฟเท่านั้น
การคั่วให้เมล็ดกาแฟมีสีเข้มมักจะทำให้เมล็ดกาแฟมีผิวเรียบขึ้น เพราะว่าเมล็ดกาแฟเหลือใยอาหารอยู่น้อยและจะมีความหวานมากขึ้น การคั่วอ่อน ๆ เมล็ดกาแฟจะเหลือคาเฟอีนสะสมอยู่มาก ทำให้กาแฟมีรสชาติขมอ่อน ๆ และมีรสชาติเข้มขึ้นจากน้ำมันหอมและกรด ซึ่งจะสูญเสียไปหากคั่วเมล็ดกาแฟเป็นเวลานาน[55] ระหว่างการคั่วเมล็ดกาแฟ จะก่อให้เกิดกากเล็กน้อยจากผิวของเมล็ดกาแฟภายหลังการคั่วแล้ว[56] กากจะถูกกำจัดโดยการเคลื่อนไหวของอากาศ แม้ว่าในเมล็ดกาแฟคั่วที่มีสีเข้มกว่าจะมีการเติมกากเพื่อให้เมล็ดกาแฟมีน้ำมันชุ่ม[53] นอกจากนี้ ระหว่างกระบวนการอาจมีการกำจัดคาเฟอีนด้วย เมล็ดกาแฟจะถูกกำจัดคาเฟอีนขณะยังเขียวอยู่ มีหลากหลายวิธีในการกำจัดคาเฟอีนออกจากกาแฟ เช่น การแช่เมล็ดกาแฟในน้ำร้อนหรือการอบเมล็ดกาแฟ จากนั้นใช้ตัวทำละลายในการละลายน้ำมันที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย[15] การกำจัดคาเฟอีนมักจะทำโดยบริษัทผู้ประกอบการ จากนั้นคาเฟอีนที่ถูกแยกออกมามักจะถูกจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมทางยา[15]

การเก็บรักษา[แก้]

เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วแล้วจำเป็นต้องได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อคงความสดของรสชาติเอาไว้ เงื่อนไขในการคงความสด คือ ความกดอากาศและความเย็น อากาศ ความชื้น ความร้อนและแสงสว่างถือว่าเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่สำคัญในการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ[57]
ถุงที่พับขึ้นนับว่าเป็นวิธีการทั่วไปที่ลูกค้ามักจะใช้ในการซื้อกาแฟนั้นไม่เหมาะสำหรับการเก็บรักษาในเวลานาน เนื่องจากอากาศสามารถเข้าไปในถุงได้ บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมควรจะเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทมีลิ้นทางเดียวเพื่อป้องกันอากาศไม่ให้เข้าไปในบรรจุภัณฑ์นั้น[57]

การเตรียมการ[แก้]

ดูบทความหลักที่: การเตรียมกาแฟ
เอสเพรสโซกำลังต้มกับครีมาสีน้ำตาลแดงเข้ม
เมล็ดกาแฟจะต้องถูกบดและชงเพื่อที่จะทำเป็นเครื่องดื่ม การบดเมล็ดกาแฟคั่วสามารถทำได้ที่เตาอบกาแฟ ในร้านขายของชำ หรือในบ้านก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นที่เตาอบกาแฟจากนั้นจะบรรจุและจัดจำหน่ายให้แก่ลูกค้า เมล็ดกาแฟสามารถบดได้หลายวิธี เครื่องบดเลื่อยใช้การหมุนในการตัดเมล็ดให้ขาดออกจากกัน เครื่องบดไฟฟ้าใช้การอัดกระแทกของใบมีดทื่อที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ไปจนถึงการใช้โกร่งบดยา
ประเภทของการบดจะตั้งชื่อตามวิธีของการชงกาแฟที่ใช้กันโดยทั่วไป อย่างเช่น กาแฟตุรกีเป็นการบดที่ดีที่สุด[58] ในขณะที่เครื่องต้มกาแฟหรือหม้อต้มกาแฟเป็นการบดที่ลื่นไหลที่สุด ส่วนการบดแบบธรรมดาจะอยู่กึ่งกลางระหว่างการบดที่ดีที่สุดกับการบดที่ลื่นไหลที่สุดนี้ การบดแบบปานกลางมักจะใช้กับเครื่องชงกาแฟทั่วไปตามบ้าน[59]
กาแฟสามารถชงได้หลายวิธี การต้ม การจุ่มน้ำหรือการใช้ความดัน การต้มการแฟโดยใช้วิธีการต้มเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ยกตัวอย่าง กาแฟต้ม คือ กาแฟตุรกี โดยการตำเมล็ดกาแฟด้วยโกร่งบดยา จากนั้นนำผงกาแฟไปต้มกับน้ำจนเดือดในหม้อที่เรียกว่าเซสฟ์ หรือบริกิ ในภาษากรีก ซึ่งจะทำให้เกิดกาแฟที่มีรสเข้มและมีฟองเกาะอยู่บนผิวหน้าของกาแฟ[58]
เครื่องจักรอย่างเช่น เครื่องต้มกาแฟ หรือ เครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ ต้มกาแฟโดยใช้แรงโน้มถ่วง น้ำร้อนจะหยดสู่ผงกาแฟซึ่งถูกยึดใว้ในที่กรองกาแฟที่ทำจากกระดาษหรือโลหะที่เจาะรู เพื่อให้น้ำค่อย ๆ ไหลซึมไปยังเมล็ดกาแฟ ขณะที่ดูดซึมน้ำมันไป แรงโน้มถ่วงทำให้ของเหลวสามารถผ่านขวดใส่น้ำหรือหม้อ ขณะที่ผงกาแฟยังคงเก็บไว้ในที่กรองกาแฟอยู่[60] ด้วยวิธีการดังกล่าว น้ำต้มเดือดจะถูกดันเข้าสู่ที่ว่างเหนือที่กรองกาแฟด้วยแรงดันไอน้ำที่เกิดจากการต้มน้ำ จากนั้นน้ำจะผ่านลงไปด้านล่างผ่านผงกาแฟโดยแรงโน้มถ่วง และกระบวนการจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะถูกหยุดโดยตัวจับเวลาภายใน[60] หรือถ้าโดยทั่วไปแล้วเครื่องบังคับความร้อนในการตัดตัวทำความร้อนเมื่ออุณหภูมิภายในหม้อสูงตามที่กำหนดแล้วแทน เครื่องบังคับความร้อนสามารถควบคุมอุณหภูมิของกาแฟให้คงที่ได้ เนื่องจากเมื่อกาแฟเย็นลง เครื่องบังคับความร้อนจะเปิดให้ตัวทำความร้อนทำงานอีกครั้ง แต่วิธีนี้จำเป็นต้องนำถาดรองผงกาแฟออกหลังจากการต้มครั้งแรกเสร็จแล้ว เพื่อป้องกันมิให้เกิดการต้มเพิ่มอีก ผู้ที่มีความพิถีพิถันจะรู้สึกว่าการต้มหลาย ๆ ครั้งจะทำให้กาแฟไม่ได้รสชาติที่ดีที่สุดของมัน
กาแฟยังสามารถต้มได้ด้วยวิธีการจุ้มในเครื่องต้มกาแฟ ผงกาแฟและน้ำร้อนจะถูกผสมรวมกันในเครื่องต้ม และใช้เวลาไม่กี่นาทีในการต้ม เครื่องแทงจะลดระดับลงเพื่อใช้แยกผงกาแฟ ซึ่งจะเหลืออยู่ที่ก้นของเครื่องต้ม เนื่องจากผงกาแฟสัมผัสกับน้ำโดยตรง น้ำมันกาแฟทั้งหมดจึงยังเหลืออยู่ในกาแฟนั้น ทำให้กาแฟมีรสชาติเข้มขึ้น และพบว่ามีตะกอนอยู่มากกว่ากาแฟซึ่งผลิตในเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ[61]
ส่วนกาแฟเอสเพรสโซ่ใช้วิธีการพาสเจอร์ไรซ์ร้อน แต่ไม่ถึงกับเดือด โดยให้น้ำไหลผ่านผงกาแฟ ผลจากการต้มภายใต้แรงดันสูงประมาณ 9-10 หน่วยบรรยากาศ ทำให้เครื่องดื่มเอสเพรสโซ่มีรสแรงมาก คิดเป็น 10-15 เท่าของกาแฟที่ใช้วิธีแรงโน้มถ่วง และมีองค์ประกอบทางกายภาพและทางเคมีที่ซับซ้อน กาแฟเอสเพรสโซ่ชั้นดีจะมีครีมสีน้ำตาลแดงลอยอยู่บนผิวหน้า ที่เรียกว่า "ครีมา"[59] ส่วนเครื่องดื่ม "อเมริกาโน" ซึ่งได้ชื่อมาจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่ทหารเหล่านั้นคิดว่ากาแฟเอสเพรสโซ่ในแบบของชาวยุโรปนั้นมีรสชาติแรงเกินไป จึงมีการทำให้เจือจางโดยใส่น้ำมากขึ้นกว่ากาแฟเอสเพรสโซ่

การนำเสนอ[แก้]

การนำเสนอกาแฟในรูปแบบต่าง ๆ สามารถเป็นส่วนหนึ่งของบริการบ้านกาแฟ ยกตัวอย่างเช่นการวาดลวดลายแฟนซีบนผิวหน้าของลาเต้ถ้วยนี้ เป็นต้น
เมื่อผ่านการต้มแล้ว กาแฟสามารถนำเสนอได้ในหลายรูปแบบ การต้มหยด ซึม หรือกาแฟที่ทำมาจากเครื่องต้มกาแฟสามารถดื่มได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสารปรุงแต่งเพิ่มเติม หรืออาจจะใส่น้ำตาล นม ครีมหรือทั้งคู่ และยังสามารถเสิร์ฟในน้ำแข็งได้อีกด้วย
กาแฟประเภทเอสเพรสโซมีวิธีการนำเสนอหลากหลายรูปแบบ ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด กาแฟเอสเพรสโซสามารถดื่มได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเพิ่มเติม หรือในรูปแบบที่มีการเจือจางด้วยน้ำมากขึ้น เรียกว่า "อเมริกาโน" ซึ่งประกอบด้วยเอสเพรสโซหนึ่งหรือสองช็อตผสมกับน้ำร้อน[62] กาแฟอเมริกาโนควรจะเสิร์ฟพร้อมกับเอสพรสโซช็อตเพื่อรักษาครีมาเอาไว้ กาแฟเอสเพรสโซหลายรูปแบบสามารถใส่นมเพื่อปรุงแต่งได้ เมื่อเพิ่มนมร้อนในกาแฟเอสเพรสโซแล้ว จะเรียกว่า "ลาเต"[63] กาแฟเอสเพรสโซและนมในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จะได้ "คาปูชิโน"[62] และยังมีการใช้นมร้อนในการวาดลวดลายบนผิวหน้าของกาแฟ ซึ่งเรียกว่า ศิลปะลาเต
กาแฟจำนวนมากถูกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ไม่มีเวลาที่จะทำกาแฟของตนเอง กาแฟประเภทนี้ ได้แก่ กาแฟสำเร็จรูป ซึ่งถูกทำให้แห้งจนกลายเป็นผงแป้งที่สามารถละลายน้ำได้ หรือการทำให้แห้งจนเป็นเมล็ดขนาดเล็กซึ่งสามารถละลายได้อย่างรวดเร็วในน้ำ[64] กาแฟกระป๋องเป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในชาวเอเชียเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ผู้ผลิตได้ใช้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติในการจำหน่ายกาแฟกระป๋องหลายรูปแบบ อย่างเช่น กาแฟต้มหรือกาแฟซึม และมีทั้งกาแฟร้อนและเย็น ร้านสะดวกซื้อและร้านขายของชำในประเทศญี่ปุ่นยังมีการจำหน่ายกาแฟบรรจุขวดหลายรูปแบบ โดยมักจะมีรสหวานอ่อน ๆ และผสมกับนมเล็กน้อย กาแฟบรรจุขวดยังได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา[65] ในบางครั้ง กาแฟเหลวข้นถูกผลิตออกมาเพื่อให้ทันต่อความต้องการของผู้คนนับพันในเวลาเดียวกัน รสชาติของมันเทียบได้กับกาแฟโรบัสตาชั้นเลว และใช้ต้นทุนการผลิต 10 เซนต์ เครื่องจักรสามารถผลิตกาแฟได้ 500 ถ้วยต่อชั่วโมง หรืออาจมากถึง 1,000 ถ้วยต่อชั่วโมงถ้าใช้น้ำร้อนในการผลิต[66]

กาแฟแต่ละรูปลักษณ์[แก้]

ดูบทความหลักที่: ประเภทของกาแฟ

กาแฟกับสังคม[แก้]

บ้านกาแฟในปาเลสไตน์ ในปี ค.ศ. 1900
กาแฟนั้นแต่เดิมใช้เพื่อเหตุผลทางด้านจิตวิญญาณ เมื่อ 1,000 ปีที่ผ่านมา พ่อค้าได้นำกาแฟข้ามทะเลแดงมายังดินแดนอาระเบีย (ปัจจุบัน คือ ประเทศเยเมน) ที่ซึ่งนักบวชชาวมุสลิมได้ปลูกไม้พุ่มในสวนของตน ในตอนแรก ชาวอาหรับได้ผลิตไวน์จากเนื้อของเมล็ดกาแฟหมัก เครื่องดื่มดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันว่า qishr (ปัจจุบัน คือ kisher) และเป็นส่วนประกอบของพิธีการทางศาสนาอีกด้วย
หลังจากนั้น กาแฟได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่ทำหน้าที่แทนไวน์ในพิธีกรรมทางศาสนา หลังจากที่ได้มีการห้ามดื่มไวน์[67] การดื่มกาแฟถูกห้ามโดยชาวมุสลิมตามฮะรอม ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่ว่าข้อห้ามดังกล่าวได้ถูกล้มล้างในเวลาไม่นาน การนำไปใช้ในพิธีกรรมทางศานาทำให้กาแฟถูกส่งไปยังนครเมกกะ กาแฟถูกกล่าวว่าเป็นต้นเหตุของการประพฤติตนนอกคอก การผลิตและการบริโภคกาแฟถูกปราบปราม ต่อมา กาแฟถูกห้ามอย่างเด็ดขาดในจักรวรรดิออตโตมาน[68] กาแฟซึ่งเป็นเครื่องดื่มของชาวมุสลิม ถูกห้ามในหมู่ชาวเอธิโอเปียซึ่งนับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1889 ซึ่งได้เป็นเครื่องดื่มประจำชาติของเอธิโอเปีย ที่ไม่ว่าคนที่นับถือความเชื่อใดก็สามารถดื่มได้ทั้งสิ้น การใช้กาแฟในกิจกรรมก่อการกบฏทางการเมืองทำให้กาแฟถูกห้ามในสหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ[69]
ในยุคเดียวกับที่มีการห้ามดื่มกาแฟในจักรวรรดิออตโตมานนั้น การห้ามกาแฟยังสามารถพบเห็นได้ในวิหารคริสต์ศาสนานิกายมอมะนิสม์แห่งพระเยซูคริสต์เจ้า[70] ซึ่งได้กล่าวอ้างว่าการดื่มกาแฟจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตวิญญาณ[71] ซึ่งแนวคิดดังกล่าวมาจากทฤษฎีทางด้านสุขภาพของชาวคริสต์นิกายมอมะนิสม์ในปี ค.ศ. 1833 โดยผู้ก่อตั้งนิกาย โจเซฟ สมิธ ในพระวจนะที่เรียกว่า ถ้อยคำแห่งปัญญา แต่ถ้อยคำแห่งปัญญานี้ไม่ได้หมายความตามชื่อ แต่ยังรวมไปถึงข้อกำหนดที่ว่า "เครื่องดื่มร้อนไม่ใช่ของสำหรับดื่ม" จึงมีการตีความว่า ห้ามการดื่มกาแฟและชาด้วย[71]
นอกจากนี้ สมาชิกของคริสต์ศาสนาแอดเวนทิสต์วันที่เจ็ดยังได้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน เนื่องจากคริสตจักรได้สอนให้พวกเขาละเว้นจากการดื่มชาและกาแฟ รวมไปถึงเครื่องดื่มบำรุงกำลังอื่น ๆ การศึกษาวิจัยของนิกายแอดเวนทิสต์ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เล็กแต่ว่าส่งผลอย่างมากในทางสถิติระหว่างการดื่มกาแฟกับอัตราการตายจากการเป็นโรคหัวใจ และอีกหลายสาเหตุของการเสียชีวิต[72]

สรรพคุณ[แก้]

สรรพคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ
  • ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง
  • กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลาหรือกลิ่นอาหารแรงๆ เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วย คุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับ กลิ่นเหม็นๆ ออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด
  • ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถ เอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ห้องได้ด้วย[73]

ผลกระทบต่อสุขภาพ[แก้]

ดูบทความหลักที่: กาแฟและผลกระทบต่อสุขภาพ
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟกับคุณสมบัติทางยา ผลที่ได้จากการศึกษานั้นมีความขัดแย้งกันในเรื่องของประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟ และยังมีความขัดแย้งกันในด้านผลกระทบที่เกิดจากการบริโภคกาแฟอีกด้วย[9]
การดื่มกาแฟดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดขนาดของหน้าอก[74] และการได้รับปริมาณคาเฟอีนในระดับหนึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเต้านม[75] กาแฟดูเหมือนว่าจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจ โรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคตับแข็ง[76] และโรคเกาต์ จากผลของการศึกษาระยะยาวในปี ค.ศ. 2009 พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม (ได้แก่ 3-5 ถ้วยต่อวัน) จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์[77] แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะไหลย้อนกลับและโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง[78] ผลกระทบที่เกิดจากการดื่มกาแฟบางอย่างเป็นเพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟ แต่ก็ใช่ว่าส่วนประกอบอย่างอื่นไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเสียทีเดียว[79] อย่างเช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันอนุมูลอิสระภายในร่างกาย[80]
กาแฟช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตัวระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะในการรักษาไมเกรน และยังสามารถกำจัดโรคหืดในผู้ป่วยบางคนได้ด้วย คุณประโยชน์บางอย่างอาจส่งผลต่อเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการฆ่าตัวตายในผู้หญิง และช่วยป้องกันนิ่วและโรคถุงน้ำดีในผู้ชาย นอกจากนี้มันยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานในทั้งสองเพศ และลดเพียงประมาณ 30% ในผู้หญิง แต่ลดมากกว่า 50% ในผู้ชาย กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งและป้องกันมะเร็งในปลายลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะ กาแฟสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของมะเร็งตับ (Inoue, 2005) และสุดท้ายกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจอีกด้วย
ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟ เช่น กาแฟมีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิว นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนระบบเมตาบอลิซึมให้มีสัดส่วนของลิพิดต่อคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเผาผลาญสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการล้ากล้ามเนื้อของนักกีฬา
ทีมวิจัยของ University of Bari ประเทศอิตาลี พบว่าการดื่มกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน ช่วยป้องกันโรคหนังตากระตุกได้ และยังช่วยลดอัตราการกระตุกให้ช้าลงได้สำหรับผู้ป่วย[81]
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เยเซอร์ ดอร์รี ได้เสนอว่ากลิ่นของกาแฟสามารถลดอาการอยากอาหารและสามารถฟื้นฟูประสาทรับกลิ่นได้ เขายังเสนอว่าผู้คนสามารถลดอาการอยากอาหารได้เมื่อพวกเขาได้สูดดมกลิ่นเมล็ดกาแฟเข้าไป และทฤษฎีดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับสัตว์ทดลองอีกด้วย[82]
แต่ว่าคาเฟอีนก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่ดื่มกาแฟมากเกินไป อย่างเช่น อาการ "ใจสั่น" ซึ่งเป็นอาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับคาเฟอีนมากเกินไป กาแฟยังเพิ่มความดันโลหิตให้กับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่ผลการศึกษาเพิ่มเติมก็ยังแสดงให้เห็นว่ามันช่วยลดอัตราเสี่ยงโดยรวมในการเกิดโรคหัวใจด้วย กาแฟยังทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับในบางคน แต่ในทางกลับกันก็ช่วยให้บางคนหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังอาจทำให้เกิดความกังวลและอาการหงุดหงิดง่ายให้กับบางคนที่ดื่มมากเกินไป และบางคนก็เกิดอาการทางประสาท ผลกระทบบางอย่างของกาแฟก็เกิดขึ้นกับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น มันทำให้อาการป่วยเลวร้ายลงในกรณีของผู้ป่วยประเภท PMS และยังลดความสามารถในการมีบุตรของสตรี และยังอาจเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเกิดภาวะกระดูกพรุนของผู้หญิงหลังวัยหมดระดู และยังอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หากแม่ดื่มตั้งแต่ 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป (48 ออนซ์ขึ้นไป)
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ในประเทศเดนมาร์กได้มีการศึกษาสตรีจำนวน 18,478 คนซึ่งดื่มกาแฟเป็นปริมาณมากระหว่างตั้งครรภ์ พบว่ามันส่งผลให้อัตราเสี่ยงของการตายของทารกหลังคลอดเพิ่มขึ้นอย่างมาก (แต่ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการตายในปีแรกของทารก) ในรายงานระบุว่า "ผลการศึกษาบ่งชี้ถึงผลกระทบจากการดื่มตั้งแต่ 4 ถึง 7 ถ้วยต่อวัน" คนที่ดื่ม 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป (48 ออนซ์ขึ้นไป) จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 220% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม การศึกษานี้ยังไม่ได้มีการทำซ้ำให้แน่ใจ แต่ก็ทำให้แพทย์หลายๆ คนเพิ่มความระมัดระวังต่อการดื่มกาแฟมากเกินไปของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์
ผลการศึกษาตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2547 ใน American Journal of Clinical Nutrition [83] พยายามค้นหาว่าทำไมประโยชน์และโทษของกาแฟจึงได้ดูขัดกันเอง และได้ค้นพบว่าการดื่มกาแฟมีความเกี่ยวข้องกับการปรากฏชัดทางชีวเคมีของอาการอักเสบและเป็นผลกระทบที่รุนแรงของกาแฟต่อระบบหัวใจร่วมหลอดเลือด ซึ่งเป็นตัวอธิบายว่าทำไมกาแฟจึงได้มีผลดีต่อหัวใจเมื่อดื่มไม่เกินวันละ 4 ถ้วยเท่านั้น (ไม่เกิน 20 ออนซ์)
คาเฟอีนจึงเปรียบเสมือนยาพิษหากเสพมากเกินไป การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณเข้มข้นอย่างยิ่ง อย่างเช่น เป็นเม็ดหรือเป็นผง ในปริมาณมาก ก็อาจทำให้ร่างกายอาเจียน หมดสติ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
จากผลของการสำรวจพบว่า 10% ของผู้ตอบที่ดื่มกาแฟในปริมาณ 235 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไป รายงานว่าตนมีความทุกข์มากขึ้นเมื่อตนขาดคาเฟอีน[84] ในขณะที่ผู้ตอบ 15% บอกว่าตนได้เลิกการบริโภคคาเฟอีนอย่างเด็ดขาด เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพของตน[85]